พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018/2019 ใกล้ที่จะปิดฉากแล้ว ซึ่งช่วงโค้งสุดท้ายทุกอันดับบนตารางคะแนนไม่ว่าจะเป็นการลุ้นแชมป์ ท็อป 4 และหนีตกชั้นยังคงขับเคี่ยวกันเข้มข้น และมีนักเตะหลายคนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้
ทั้งนี้ 5 แข้งที่เป็นตัวเต็งคว้านักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ได้แก่ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เซร์คิโอ อเกวโร่, ซาดิโอ มาเน่ และ ซน ฮึง-มิน ติดเป็นท็อป 5 ลิสต์ที่มีสิทธิ์คว้ารางวัลนี้ ซึ่งการลงคะแนนจะมาจากนักฟุตบอลอาชีพด้วยการลงคะแนนเสียงโหวต โดยสื่อหลายสำนักยก ฟาน ไดจ์ค ให้เป็นเต็ง 1 ที่จะซิวรางวัลนี้ไปครอง
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และหาก ฟาน ไดจ์ค ได้รางวัล นักเตะยอดเยี่ยม พีเอฟเอ แห่งปีไปครอง แต่ทว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้แชมป์ลีก เขาจะเดินตามรอยนักเตะเหล่านี้ทันที
8. รุด ฟาน นิสเตลรอย (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2001/2002)
ก่อนหน้าที่จะย้ายมา โอลด์ แทรฟฟอร์ด รุด ฟาน นิสเตลรอย ต้องประสบกับปัญหาอาการเจ็บเข่า แต่ซีซั่นแรกของเขาในพรีเมียร์ลีก สามารถระเบิดฟอร์มถล่มประตูอย่างต่อเนื่อง ซัดไปถึง 23 ประตู ในลีก น้อยกว่าดาวซัลโวอย่าง เธียร์รี่ อองรี แค่ลูกเดียวเท่านั้น เจ้าตัวสร้างสถิติยิงในลีกได้ 8 นัดติดต่อกัน ในฤดูกาลนั้น ช่วยทัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ล่าแชมป์ขับเคี่ยวกับ อาร์เซน่อล อย่างเข้มข้น แต่สุดท้าย พวกเขาก็พลาดท่าและเป็น อาร์เซน่อล ที่คว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้นไป
7. เธียร์รี่ อองรี (อาร์เซน่อล ฤดูกาล 2002/2003)
ฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แก้แค้น อาร์เซน่อล ได้สำเร็จด้วยการแซง อาร์เซน่อล คว้าแชมป์ลีก รุด ฟาน นิสเตลรอย คว้าดาวซัลโว แต่เป็น เธียร์รี่ อองรี ที่คว้าแข้งยอดเยี่ยมไปครอง ด้วยการกดไปถึง 24 ประตู และทำสถิติแอสซิสต์ในฤดูกาลเดียวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อีกถึง 20 ลูก
6. สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2005/2006)
ตำนานกัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล คือกำลังสำคัญที่พา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2005 ตามด้วย เอฟเอ คัพ ในปี 2006 หลังเขาเป็นคนซัดไกลทำประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บท้ายเกม แถมทำผลงานยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกในช่วงเวลานั้น แต่ทว่า แชมป์ พรีเมียร์ลีก ในช่วงนั้นตกเป็นของ เชลซี ภายใต้การนำทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่
5. เวย์น รูนี่ย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2009/2010)
รูนี่ย์ ยิงในพรีเมียร์ลีกมากถึง 26 ลูก ในฤดูกาลนี้แต่น่าเสียดายที่มาบาดเจ็บข้อเท้าช่วงท้ายฤดูกาล จนส่งผลทำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดตัวยิงและทำแต้มหล่น ก่อนโดน เชลซี ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกไปครองแทน ด้วยการมีคะแนนมากกว่าเพียงแต้มเดียว
ย้ายมาแรก ๆ เจ้าตัวเคยเล่นเป็น ฟูลแบ็คมาก่อน แต่หลังจากเปลี่ยนมาเล่นเป็นปีกก็ทำผลงานดีวันดีคืน ก่อนกลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดในโลก 84 ล้านปอนด์ในช่วงปี 2013 ด้วยการย้ายไป เรอัล มาดริด ซึ่งเจ้าตัวทำผลงานได้โดดเด่นมากทั้งในฤดูกาล 2010/2011 และ 2012/2013 แต่ไม่สามารถนำ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คว้าแชมป์ลีกได้
3. โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (อาร์เซน่อล ฤดูกาล 2011/2012)
กลายเป็นความหวังและเดอะแบกของ อาร์เซน่อล เจ้าตัวพังประตูไปถึง 30 ประตู จากการลงสนามเกมลีกครบทุกนัด ในฤดูกาล 2011/2012 แต่ทว่าไม่ว่าจะยิงเยอะขนาดไหนก็ไม่ได้สัมผัสแชมป์ซักที สุดท้ายเจ้าตัวทนไม่ไหวตัดสินใจทำร้ายจิตใจแฟนบอลด้วยการย้ายไปเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแน่นอนเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
2. หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2013/2014)
เป็นฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์ลีกมากที่ โดยในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ได้ดาวยิงอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ช่วยยกระดับให้ทีมเดินหน้าตบคู่แข่งในลีก เจ้าตัวยิงไปถึง 31 ประตู มากที่สุดในลีกยุโรป แต่ทว่าชอตลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม ในเกมแพ้ เชลซี คาบ้าน 0-2 กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ลิเวอร์พูล หยิบยื่นโอกาสทองให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เร่งเครื่องแซงคว้าแชมป์ได้ในโค้งสุดท้าย
1. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ฤดูกาล 2017/2018)
ฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นยอดเยี่ยมของดาวยิงอียิปต์รายนี้เลยก็ว่าได้ เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นแรกกับทีม ลิเวอร์พูล หลังย้ายมาจาก โรม่า ด้วยการทำไป 41 ประตูจาก 46 เกมให้กับสโมสร ส่งผลให้เจ้าตัวได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมอาชีพทั้ง 92 สโมสรให้คว้ารางวัลอันทรงเกียรติไปครอง โดยเอาชนะทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, ดาบิด ซิลบา, เลรอย ซาเน่, ดาบิด เด เคอา และ แฮร์รี เคน แต่ทว่า ลิเวอร์พูล จบเพียงอันดับ 4 ตารางคะแนนเท่านั้นในซีซั่นนี้ รวมไปถึงทำได้เพียงเป็นรองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังพ่าย เรอัล มาดริด ในรอบชิงชนะเลิศ
- เปีี๊ยกบางใหญ่ -
