โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เปิดหัวใจ 2 สาวผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย กับ ART for CANCER ศิลปะของผู้ป่วยเพื่อผู้ป่วย

LINE TODAY

เผยแพร่ 19 ต.ค. 2563 เวลา 22.53 น.

“การเป็นมะเร็งของเราก็เหมือนการทำธุรกิจ เราอยู่ในวงการจริง มีประสบการณ์จริง เข้าใจจริง คงไม่มีใครคนอื่นที่จะเข้าใจผู้ป่วยมะเร็งเท่าที่เราเข้าใจแล้ว” ประโยคบอกเล่าจากปากของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ‘ออย ไอรีล ไตรสารศรี’ ผู้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม ART for CANCER by Ireal ร่วมกับ ‘เบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยกาญจน์’ เมื่อโรคมะเร็งนำพาทั้งคู่มาเจอกัน สร้างโครงการดี ๆ เพื่อระดมเงินทุนช่วยเหลือ ‘เพื่อนร่วมโรค’ ทั่วประเทศไทย ถึงแม้ว่ากายของทั้งคู่จะป่วย แต่พลังใจที่ต้องการทำเพื่อผู้อื่นช่างแข็งแกร่งกว่าสิ่งใด

LINE TODAY ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้บอกต่อเรื่องราวดี ๆ ของผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่ ไปกับ ART for CANCER ศิลปะเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็ง

เมื่อมะเร็งมาเยือน

"ออยพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 ตอนอายุ 27 ปี ตอนนั้นปี 2554 กำลังเตรียมตัวไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ เรื่องของเรื่องคือลองคลำหน้าออกแล้วเจอก้อน ไปหาหมอตรวจก็ไม่เจออะไรผิดปกติ แต่ไม่รู้ทำไม ลองไปตรวจซ้ำอีกรอบ ก็เจอแจ็คพอตเลย

ทราบว่าตัวเองป่วยก่อนเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว หมอก็เลยให้ยกเลิกทุกอย่างที่วางแผนไว้เพื่อรักษาตัวด่วนที่สุด ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่วาดฝันไว้มันพังหมดเลย เพราะว่าที่ผ่านมาเราเป็นคนแข็งแรงมาก เป็นนักกีฬา ที่บ้านก็ไม่มีใครเคยเป็นมะเร็ง รู้สึกช็อก เห้ยเราอายุแค่นี้ เราจะตายแล้วเหรอ ต้องยอมรับเลยว่าทุกคนก็ต้องคิดว่าเป็นมะเร็ง คือจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว คิดแบบนั้นจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ได้อีกกี่เดือนกี่ปี รู้สึกแย่มาก"

"ส่วนเบลล์เกิดตอนไปเรียนโทที่อังกฤษ เริ่มแรกคือมีอาการไอ มีเหงื่อออกที่หลัง เป็นลม น้ำหนักลด ผมร่วงมากกว่าปกติ แต่เคสเบลล์ตรวจไม่เจอก้อนโผล่ออกมา เพราะมันซ่อนอยู่ข้างใน ต้องเอ็กซเรย์พิเศษ ก็พบว่าเป็นมะเร็งในหัวใจ มีเนื้อร้าย 5 เซนติเมตร ใหญ่มาก ๆ อยู่ในห้องหัวใจข้างขวา ไม่ค่อยมีใครเป็นโรคนี้ หายากมาก 1% ในโลกเท่านั้น"

คุณออยเล่าอีกว่า วินาทีแรกที่รับรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ถึงแม้จะช็อก แต่ต้องรีบตั้งสติ เพราะหากมัวแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ตั้งแต่ตอนนั้นจึงตั้งใจจะเป็นผู้ป่วยที่เข้มแข็ง ใช้ชีวิตและเวลาที่เหลืออยู่ให้มีคุณค่าที่สุด เพื่อตัวเองและคนรอบข้าง รวมถึงให้ความร่วมมือในการรักษาทุกครั้งอย่างดีที่สุด

ยาก แต่ไม่ยอมแพ้

"ตลอดการรักษาของออยก็มีทั้งผ่าตัด ให้เคมีบำบัด ฉายแสง เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก เราเลือกรักษาที่โรงพยาบาลรัฐ เพราะกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายจะสูง แม้ว่าทางบ้านเราจะพอมีทุนทรัพย์ก็ตาม"

"เบลล์ก็เคยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรักษาเหมือนกัน เพราะการรักษามะเร็งหัวใจยากมาก ต้องเลาะซี่โครงออก ใช้เครื่องหยุดหัวใจชั่วคราวระหว่างผ่า คุณหมอเก่งมากถึงรอดมาได้ มันเลยทำให้เราเชื่อเสมอว่า ถ้าเรามีความหวัง เราก็ยังมีโอกาสรอด ทุกอย่างมันเป็นไปได้สำหรับเบลล์ มีช่วงนึงทีมหมอยอมแพ้แล้ว คนรอบข้างก็ถอดใจ ถึงขนาดที่คุณพ่อถามเลยว่า มีอะไรจะสั่งเสียมั้ย ทุกคนหมดกำลังใจแล้ว แต่เรายังศรัทธาอยู่ เรายังเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้ อยากมีชีวิตอยู่ต่อ กำลังใจสร้างได้ด้วยตัวเองค่ะ"

ป่วยแต่อยากช่วยคนอื่น จึงเป็นที่มาของ ART for CANCER

"โครงการ ART for CANCER เกิดในช่วงที่ออยรักษาตัวอยู่ อย่างที่บอกว่าเราเลือกโรงพยาบาลรัฐ ตอนนั้นก็เลยได้เห็นสภาพความเป็นจริงของผู้ป่วยคนอื่น ๆ ที่บางคนแย่กว่าเรา บางคนมีค่ารักษาแต่ไม่มีค่ารถเดินทางมาโรงพยาบาล บางคนไม่มีแม้แต่เงินรักษาตัวเลยด้วยซ้ำ ART for CANCER ก็เลยเกิดขึ้นมาช่วงที่เรารักษาตัวอยู่ตอนนั้นเลยค่ะ"

คุณออยบอกว่าตัวเองโชคดีในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแรงเพราะชอบเล่นกีฬา โชคดีที่ยังพอมีทุนทรัพย์ในการรักษาตัว โชคดีที่พอจะมีศักยภาพในด้านศิลปะ เลยมีความคิดอยากนำจุดนี้มาช่วยเหลือคนอื่นที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งด้วยกัน โครงการนี้จึงเริ่มจากที่คุณออยลงทุนควักกระเป๋าตัวเองเพื่อเปิดเพจ ทำเสื้อขาย และยังโชคดีที่คนรอบข้างสนับสนุน จึงได้นำงานศิลปะจากคนรอบข้างมาช่วยระดมทุนอีกทาง

เหตุผลที่เลือก ‘ศิลปะ’ เป็นตัวกลาง

"เพราะว่าเป็นศักยภาพที่ออยมี สามารถใช้เป็นตัวต่อยอดในการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง เสริมสร้างกำลังใจให้เขา จริง ๆ ศิลปะไม่ใช่แค่การวาดภาพอย่างเดียว แต่รวมถึงศิลปะในการใช้ชีวิตด้วย มีกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มาใช้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน

ในช่วง 5 ปีแรกออยทำคนเดียว เป็นแนวกิจกรรมเพื่อสังคม ทั้งนิทรรศกาลศิลปะ ดนตรี Art therapy ให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็ง ได้รับความร่วมมือจากทั้งผู้ป่วยเอง ผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์ต่าง ๆ มาร่วมด้วยค่ะ ช่วงนั้นจะใช้การขายงานศิลปะเพื่อหาทุนเข้าโครงการเป็นหลัก จนได้ทุนมากถึง 6 ล้านบาท ก็นำเงินทั้งหมดไปเข้ากองทุน ART for CANCER ที่มูลนิธิรามาธิบดี ศริราช และสถาบันมะเร็ง โดยมีคุณหมอช่วยบริหารจัดการให้ค่ะ"

ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี แต่ชีวิตคุณออยกลับต้องสะดุดอีกครั้ง เมื่อตรวจเจอมะเร็งรอบสอง

"พอทำ ART for CANCER เข้าสู่ปีที่ 6 เราก็ตรวจพบว่ามะเร็งมันกลับมาอีก รอบนี้เชื้อลุกลามไปสู่ปอด ซึ่งการลุกลามแบบนี้ถือเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนที่รู้ก็เซ็งมากกว่า เพราะที่ผ่านมา 5 ปีเราก็วางแผนชีวิตไว้ใหม่แล้ว แต่กลับมาเจอว่าป่วยอีก ก็ต้องเปลี่ยนแพลนชีวิตอีกรอบนึง"

จากโครงการธรรมดา สู่ธุรกิจเพื่อสังคม

"พอถึงจุดนึงออยเริ่มมองถึงความยั่งยืนของ ART for CANCER บ้างแล้ว ถ้าวันนึงเราไม่อยู่ จะทำยังไงให้โครงการยังอยู่ต่อไป เลยมองไปถึงการต่อยอดเป็นธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ก็ได้มาเจอกับเบลล์ เราสองคนเป็นเด็กเรียนที่อังกฤษเหมือนกัน อยู่เมืองใกล้กัน แต่ไม่รู้จักกัน (ฮา)"

"ตอนนั้นเบลล์มีเขียนหนังสือ ทำเพจ เรื่องจริงกะเบลล์ วันนึงก็ได้มาเจอกัน คุยกัน ก็เลยตัดสินใจร่วมมือกันต่อยอดเป็นธุรกิจเพื่อสังคม เราถนัดคนละด้านกันพอดี คนนึงไปทางศิลป์ คนนึงไปทางบัญชี ธุรกิจ แรก ๆ ก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่โชคดีที่เรามีเป้าหมายร่วมกันว่าอยากจะพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งให้ยั่งยืน ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

อย่างเคสของเบลล์ ผู้ป่วยมีโอกาสรอดแค่ 1% แต่เรายังรอดมาได้ มันเลยมีความคิดว่ามะเร็งแค่รู้จักทางรอด มันก็รอดได้นะ ไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียว แต่ต้องรู้วิธีการรับมือกับมันด้วย ก็เลยคุยอย่างจริงจังกับออยที่จะพัฒนาโครงการ ART for CANCER ค่ะ"

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจเพื่อสังคม

"คนชอบมองว่าทำอะไรเพื่อสังคมไม่ควรมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง จริง ๆ แล้วธุรกิจเพื่อสังคมก็ต้องขับเคลื่อนด้วยทุนเหมือนกัน แต่เรามีที่มาที่ไปของเงินทุกบาทชัดเจนว่าเข้ามาแล้วออกไปตรงไหน ใช้ไปกับกองทุนในมูลนิธิของโรงพยาบาลที่เราจัดตั้งไว้ คุณหมอก็เข้ามาบริหารจัดการ ทุกอย่างตรวจสอบได้หมดว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของทุกคนจริง ๆ"

"ธุรกิจเพื่อสังคมเป็นการช่วยคนอย่างยั่งยืน ช่วยให้คนมีรายได้ สร้างอาชีพ เลี้ยงตัวเองได้ ดีกว่าบริจาคเงินแล้วก็จบ ไม่ได้ขับเคลื่อนอะไรให้เกิดขึ้นเลย แต่ไม่ใช่มูลนิธิไม่ดีนะคะ แค่มันไม่ตรงกับความตั้งใจของเราสองคน เราบ้าพลังกว่านั้น (ฮา) คือเราไม่ต้องการเปิดรับบริจาคเพื่อให้คนมาสงสารเห็นใจผู้ป่วย แต่เราอยากให้ผลผลิตที่ออกไปสู่สังคมมันมีคุณค่า คนซื้อเพราะชอบ มีประโยชน์ ไม่ได้ซื้อเพราะสงสาร เราไม่ต้องการแบบนั้นค่ะ"

แม้ว่าจะโครงการจะเปลี่ยนมาเป็นธุรกิจเพื่อสังคม แต่รายได้ส่วนนึงจะถูกแบ่งไปสนับสนุนกองทุนในมูลนิธิต่าง ๆ ที่ ART for CANCER ได้จัดตั้งกองทุนไว้ในแต่ละโรงพยาบาลเป็นประจำทุกปี

ไม่ใช่แค่ระดมทุน แต่เป้าหมายคือพัฒนาคุณภาพชีวิต

"เป้าหมายของโครงการก็คือ อยากพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งในไทยให้ดีขึ้นและยั่งยืน คำว่าคุณภาพชีวิตไม่ได้หมายถึงการต้องมีความหวังว่าเราจะหายขาดจากโรค 100% แต่ครอบคลุมไปถึงคนที่กำลังรักษา หรือรักษาไม่หาย ต้องยอมรับความจริง และอยู่ร่วมกับโรคได้อย่างมีความหวัง และปกติสุข รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่ได้ป่วยด้วย ว่าดูสิ ขนาดคนที่ป่วยยังสู้ได้ขนาดนี้เลย ให้เรื่องราวของคนป่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ด้วย"

"ตั้งแต่ทำโครงการมา ได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ หน่วยงานต่าง ๆ ภาคเอกชน มูลนิธิ ศิลปิน ขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะจัดขึ้นแทบทุกเดือน ทั้งร่วมระดมทุน สร้างกำลังใจ ให้ข้อมูลความรู้ทุกอย่างตามความถนัดของหน่วยงานนั้น ๆ ตอนนี้นอกจากงานศิลปะ ก็มีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ออกมาจำหน่าย เช่น กระเป๋า ถุงผ้า สมุด มีแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ผลิตสินค้าด้วย ใครมีของ แต่ไม่มีทุน เราก็ซัพพอร์ต ใครมีเงิน แต่ไม่มีไอเดีย เราก็ซัพพอร์ต หรือใครมีของ แต่ไม่มีที่ขาย เราก็ซัพพอร์ตได้ทั้งหมด ต่อไปอาจจะมีพื้นที่ออนไลน์สำหรับการซื้อขาย ระดมทุนของผู้ป่วยมะเร็งด้วยในอนาคตค่ะ"

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ กลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่

"เริ่มจากการทำเฟซบุ๊กแฟนเพจธรรมดา ขอรับบริจาคงานศิลป์ จากเพื่อน ๆ พี่น้องที่รู้จัก กลายเป็นการบอกปากต่อปากจนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น แล้วคนก็เริ่มสนใจเรื่องราวของเรา ที่เป็นผู้ป่วยมะเร็งลงมือทำโครงการเอง ซึ่งมันยังไม่มีใครทำมาก่อน ก็เลยได้รับความสนใจ หลังจากนั้นก็เริ่มมีสื่อติดต่อมาเรื่อย ๆ ค่ะ อาจจะเพราะเราไม่ได้เน้นขาย หรือเน้นเขียนเรื่องราวตัวเองเป็นหลัก แต่ทำเพื่อคนอื่นมากกว่า เราอยากช่วย เราอินมากหลังจากที่ได้ไปเห็นความยากลำบากของเพื่อน ๆ ผู้ป่วย จนคิดว่า เห้ย กูต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว! ก่อนตายขอทำอะไรเล็ก ๆ เพื่อคนอื่นบ้าง"

ส่งต่อกำลังใจซึ่งกันและกัน

"ตลอดเวลาที่เริ่มทำโครงการ ได้รับฟีดแบคจากคนหลาย ๆ กลุ่ม ทั้งตัวผู้ป่วยเองที่ได้รับกำลังใจ ได้รับประโยชน์จากกิจกรรมที่ทำ หรือแม้แต่กลุ่มหมอ พยาบาลที่เขาบอกว่าเราช่วยเยียวยาผู้รักษาเองด้วย ก็แฮปปี้ทุกฝ่ายค่ะ"

"กำลังใจส่วนหนึ่งมาจากคนที่ได้รับทราบ รับรู้โครงการ ผลงานของเรา มีทักมาขอบคุณในเพจบ้าง บอกว่าได้เห็นโครงการ ได้อ่านเรื่องราวแล้วรู้สึกอยากมีชีวิตต่อไป สำหรับเรามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก แบบจริงเหรอ เพราะเราเนี่ยนะ! จากสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำ มันกลับมีผลต่อคนมากมาย เราก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ค่ะ แล้วสัญญากับตัวเองไว้เลยว่า ถ้าไม่หมดแรงก็จะไม่เลิกทำ"

ไม่เคยสนใจปริมาณว่าช่วยเหลือไปกี่คน แต่พอใจแล้วที่ได้ลงมือทำ แค่คนเดียวก็มีความหมายมากมาย

"ก่อนมาทำโครงการนี้ เบลล์ยังเคยเป็น consult ให้ผู้ป่วยมาก่อน อย่างเวลาคุณหมอเจอเคสยาก ๆ ก็จะติดต่อมาให้เราช่วยเข้าไปพูดคุย แนะนำให้กำลังใจ ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน ผ่านการรักษามาเหมือนกัน แล้วรอดมาได้ เพราะเราก็เคยลองผิดลองถูกในการรักษามาก่อน พอรู้จุดก็อยากแชร์เพราะบางคนอาจจะไม่มีเวลาเหลือมากนักในการลองแบบเราแล้ว ประสบการณ์ที่เราเจอมันเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยคนอื่น ๆ ด้วย"

"ตั้งแต่ทำมา ออยก็ได้เรียนรู้มาเรื่อย ๆ เหมือนกัน จากตอนแรกที่คิดว่าเงินสำคัญ ทุนทรัพย์จำเป็นมาก เป็นมะเร็งว่าแย่แล้ว ยิ่งขาดแคลนทุนทรัพย์ยิ่งเหมือนเจอทางตันเข้าไปอีก แต่จริง ๆ กำลังใจ ความรู้อย่างถูกต้องก็สำคัญไม่แพ้กันนะ มันสะสมมาเรื่อย ๆ ผ่านคนรอบข้าง เพื่อนผู้ป่วยเอง รวมถึงคุณหมอที่เคยทำงานร่วมกันมา"

"การเป็นมะเร็งของเราก็เหมือนการทำธุรกิจ เราอยู่ในวงการจริง มีประสบการณ์จริง เราเข้าใจจริง คงไม่มีใครคนอื่นที่จะเข้าใจผู้ป่วยมะเร็งเท่าที่เราเข้าใจแล้ว"

มะเร็งไม่เท่ากับความตายเสมอไป

"วิธีการรับมือโรคมะเร็งมันต้องควบคู่กันไปทั้งด้านจิตใจ กำลังใจ และทุนทรัพย์ ที่สำคัญมาก ๆ เลยคือทางใจ เชื่อว่าผู้ป่วยมะเร็งหลายคนต้องมีข้อคิด คติเตือนใจ หรือเป้าหมายอะไรบางอย่างที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในทุกวัน มีพลังในการใช้ชีวิตต่อ อีกอย่างเราอยากจะปรับมุมมองด้วยว่า มะเร็ง ไม่ได้เท่ากับความตายเสมอไป แต่มะเร็งเป็นโอกาส เป็นของขวัญที่เราได้รับมามากกว่า ก็เลยอยากส่งต่อความรักความเข้าใจ ขยายเครือข่ายเพื่อนร่วมโรคออกไปสู่ผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุดค่ะ"

กล่องพลังใจ แพลนเนอร์ หมวก ลิปบาล์ม โลชั่น ซึ่งสอดแทรกกำลังใจไว้ในวิธีการใช้ด้วย ซึ่งทุกอย่างที่ทำขึ้นมาล้วนมีเรื่องราว เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้คนที่ได้รับมีพลังตามไปด้วย
กล่องพลังใจ แพลนเนอร์ หมวก ลิปบาล์ม โลชั่น ซึ่งสอดแทรกกำลังใจไว้ในวิธีการใช้ด้วย ซึ่งทุกอย่างที่ทำขึ้นมาล้วนมีเรื่องราว เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้คนที่ได้รับมีพลังตามไปด้วย

มันถูกกำหนดไว้แล้ว!

"เคยคิดว่ามันแปลกมากที่ได้มาทำโครงการนี้ เพราะสิ่งที่เราทำอยู่ มันไม่มีใครทำ หรือเขาจะกำหนดมาแล้วว่าให้เป็นเราสองคนทำ เราเกิดมาเพื่อทำสิ่งนี้! (ฮา) ปกติในไทยก็มีนะโครงการเกี่ยวกับโรคมะเร็ง แต่ยังไม่ค่อยมีใครพัฒนาต่อยอดให้มันยั่งยืนแบบที่เราทำอยู่ มันไม่มีความต่อเนื่อง อย่างกลุ่มโรค HIVs โรคไต กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ในไทยแข็งแรงมาก อาจจะเพราะลักษณะของโรคต่อเนื่องที่มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่า แต่มะเร็งมันหลากหลาย เฉพาะเจาะจง และคนชอบมองว่าเป็นโรคที่อยู่ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นการที่เราลุกขึ้นมาทำเพื่อคนป่วยมะเร็ง มันท้าทายมาก ต้องพร้อมทั้งกาย ใจ การสนับสนุนจากรอบข้างจริง ๆ เราสองคนก็เลยถือว่าโชคดีจริง ๆ ที่มาทำตรงนี้ได้"

ตอนนี้ชีวิตของออย 80% อุทิศให้กับ Art for cancer หลังจากที่เป็นธุรกิจเพื่อสังคมที่ทำร่วมกับเบลล์มาร่วม ๆ 2 ปีแล้ว และมันจะต้องดีกว่าเดิมที่เคยทำมา พอตั้งเป็นองค์กรจดทะเบียน ก็มีเป้าหมายมากขึ้น เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้น โชคดีมากจริง ๆ ที่เรามีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันค่ะ"

ขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาในชีวิต

"ตอนที่ออยรู้ตอนแรก ชีวิตพังมากตอนนั้น ทั้งเจอมะเร็ง อดไปเรียนต่อ แฟนบอกเลิก บ้านน้ำท่วม ทุกอย่างประเดประดังมาพร้อมกัน พีกมาก เหมือนในละครเลย ช่วงนั้นก็เลยได้เรียนรู้ชีวิตในระยะสั้น ๆ ว่า ไม่มีอะไรที่เราสามารถควบคุมมันได้เลย ทุกอย่างเป็นบทเรียนให้เรา ต้องขอบคุณมากที่เข้าทำให้เราแข็งแกร่ง รู้จักปล่อยวาง พอเป็นมะเร็งมันจะรู้สึกเข้าใกล้ความตายเนอะ ก็ใช้มรณานุสติ ทุกอย่างก็เลยง่าย ปล่อยวาง ตัดจบได้เลย ไม่ยึดติด เครียดไปก็เท่านั้น พรุ่งนี้ตายก็จบแล้ว ปลงเรื่องความตายมาก ๆ"

สิ่งที่ประทับใจที่สุด

"มีเรื่อย ๆ ส่วนมากจะเป็นฟีดแบ็กจากผู้ป่วย คุณหมอ เวลาไปลงพื้นที่ตามต่างจังหวัด ผู้ป่วยบางคนก็แชร์ประสบการณ์ มากอดเรา มาขอบคุณเราที่ทำโครงการ เขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น บางคนก็เรียก น้องออย น้องเบลล์ นี่นางฟ้ามาโปรดชัด ๆ (ฮา) เราโชคดีที่เราคิดแล้วมีโอกาสได้ลงมือทำ ได้สานฝันหลายคนให้เกิดขึ้น เขาได้ลุกขึ้นไปช่วยเหลือคนอื่นต่อด้วย เหมือนที่เราทำให้เขา เราส่งต่อสิ่งดี ๆ กันไปเรื่อย ๆ ค่ะ"

เราจะข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้ไปด้วยกัน

"สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการคือความเข้าใจ และความรัก จากคนรอบตัว จริง ๆ อีกอย่างที่สำคัญคือเปลี่ยนวิธีการมองโรค และมองโลก การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แน่นอนว่าการเจ็บป่วยมันห้ามไม่ได้ หรือมะเร็งอาจจะไม่ได้รักษาหายขาด แต่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ได้แปลว่าเราต้องชนะโรคเสมอไป ในช่วงที่เราต้องสู้กับมัน เราก็สู้ ตอนไหนควรพัก ก็พัก แต่การยอมรับความเป็นไป การอยู่ร่วมกับมันให้ได้ ก็สำคัญไม่แพ้กัน

สำหรับออย ใช้มะเร็งเป็นบทเรียนชีวิต เปลี่ยนมะเร็งเป็นครู ให้เรารู้จักการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ไม่ได้โลกสวยนะ แต่เรารู้สึกจริง ๆ ว่ามันก็ดีที่มะเร็งมาเตือนเรา ให้รู้จักเตรียมตัวใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี ถ้าเราได้มีโอกาสเตรียมตัวตาย ก็เจ๋งดีนะ จะได้รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลังในเวลาที่มี เพอร์เฟ็กต์แล้ว"

"เบลล์มองว่า สิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจผู้ป่วย ทำเหมือนเราใช้ชีวิตปกตินี่แหละ ใส่ใจแบบปกติ อย่าทำเหมือนว่าเขาใกล้ตาย เขาน่าสงสาร แบบนั้นมันไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วย เราต้องซัพพอร์ตทางใจ เข้าใจเขาให้มากที่สุด จะทำให้ทุกคนผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ค่ะ"

สำหรับผู้อ่านที่สนใจติดตามกิจกรรมดี ๆ หรือร่วมสนับสนุนศิลปะเก๋ ๆ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง สามารถเข้าไปชมสินค้าทั้งหมดได้ที่ Facebook page : ART for CANCER หรือเว็บไซต์ www.artforcancerbyireal.com 

หรือสามารถติดต่อได้ที่ LINE : @artforcancer

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0