โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เปิดหมดใจ ติน เหยื่อรอดตาย ถ้าเจอแพรวา คงจำหน้าไม่ได้ เผยได้ยินเรื่องเธอเสมอ

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 19 ก.ค. 2562 เวลา 09.41 น. • เผยแพร่ 19 ก.ค. 2562 เวลา 09.30 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

ประเด็นไฮไลต์ 

  • กลัวถูกมองว่า เราเป็นอีแร้งทึ้งที่จะรุมเขา

  • ไม่เคยได้คุยกับทางน้องแพรวา และพ่อแม่ของน้องโดยตรง แต่จะเป็นทนายที่ได้พูดคุยกัน

  • “สรุปเอาไหม 2 แสน”, “อยากได้ก็ไปฟ้องเอา” เป็นประโยคจากปากทนายที่ทำให้เสียใจ

  • อยากถามแพรวาและครอบครัวว่า ที่ผ่านมารู้บ้างไหมว่าทนายทำอะไรไว้บ้าง

จากกรณีอุบัติเหตุสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2553 ที่ นางสาวแพรวา ขับรถยนต์ชนรถตู้โดยสาร บริเวณบนทางด่วนโทลล์เวย์ขาเข้า หน้าสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต 9 ศพ โดยครอบครัวผู้เสียหายยังไม่ได้รับการเยียวยาทางจิตใจ และการชดเชย  

ล่าสุด “ติน” วรัญญู เกตุชู หนึ่งในผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อ 9 ปีก่อน ได้พูดคุยกับทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวหลากหลายแง่มุมที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีทั้งเศร้า โกรธ เจ็บใจ คละเคล้าปะปนกันไป เขาบอกเล่ากับเราไว้อย่างไม่มีอะไรต้องปิดบัง…

ผู้สื่อข่าว : จากกรณีที่มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ระบุว่า หน้าศาลเยาวชนครอบครัวกลาง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ครั้งหนึ่งมีพ่อของสาวซีวิคชี้หน้านักข่าวด่าเรื่องการขอสัมภาษณ์คดีในศาลว่า "มึงก็ลองดูสิ" เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่?
ติน วรัญญู : โดยส่วนตัว ผมไม่เคยได้ยินเรื่องราวนี้เลยครับ ซึ่ง ณ เวลานั้น ตอนที่เจอกัน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้คุยกันเลย ครอบครัวเขาอยู่ฝั่งหนึ่ง ทางเราอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เราเจอกันเฉพาะในศาล ความรู้สึกของเราที่รับรู้ได้ก็คือ เขาไม่ได้อยากจะมาพูดคุย หรือทำอะไรให้เรารู้สึกดีขึ้น และด้วยความที่ตอนนั้นมันอยู่ในศาล จึงไม่ได้มีการพูดคุย พอกระบวนการในศาลเสร็จสิ้น เขาก็กลับ

“สำหรับผม ผมมองว่า ท่าทีที่อยู่ในศาล ไม่จำเป็นต้องขมึงตึงกันทั้งสองฝ่าย หรือก่อนเข้าไปในห้อง เขาควรจะเดินมาทักทาย หรือถามไถ่สารทุกข์สุกดิบผมบ้างก็ได้” ติน วรัญญู กล่าว

ผู้สื่อข่าว : เวลาพบกันที่ศาล ทางครอบครัวของแพรวา ได้เข้ามาทักทาย พูดคุยถามไถ่ทางผู้เสียหายบ้างหรือไม่?
ติน วรัญญู : ไม่มีๆ ไม่เคยมีการพูดคุยกัน คนเราทำผิดขนาดนี้ คุณจะรอแค่ฟังคำพิพากษาอย่างเดียวเลยเหรอ

ผู้สื่อข่าว : คำพูดไหนของทางฝ่ายแพรวา ที่ไม่ว่าจะออกมาจากพ่อแม่ หรือทนาย ที่มันทำให้รู้สึกแย่ที่สุด?
ติน วรัญญู : ผมเองไม่เคยได้คุยกับทางน้องแพรวา และพ่อแม่ของน้องโดยตรง แต่จะเป็นทนายที่ได้พูดคุยกัน เราจึงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ และเราก็พยายามจะบอกกับทนายทุกครั้งเลยว่า เราให้อภัยนะ เราก็คิดนะว่า ที่เขาไม่อยากคุยกับเรา เพราะเขาคิดว่า เราไปโกรธเราไปเกลียดเขาหรือเปล่า

“เรากลัวเขามองว่า เราเป็นอีแร้งทึ้งที่จะรุมเขาหรือเปล่า แต่เราก็พยายามจะบอกกับทนายตลอดว่า เราให้อภัยนะ แต่กลับกลายเป็นทนายนั่นแหละที่ทำให้กระบวนการไกล่เกลี่ย มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด และเราไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น บอกว่า ยอมๆ เหอะ ก็มีเงินแค่นี้ ถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องล้มละลายเอา ถ้าไม่เอาเงินนี้นะ คิดดูอีกกี่ปีกว่าจะฟ้องล้มละลาย กว่าจะฟ้องบังคับคดีได้ มันเหมือนคุณมาบีบบังคับให้เรายอม และมาพูดอย่างนี้ มันทำให้เรารู้สึกท้อ ซึ่งการไกล่เกลี่ยนั้น มันควรพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ และเรื่องตัวเงินก็ไม่ใช่ประเด็นเลย” ติน วรัญญู กล่าว

ผู้สื่อข่าว : คุณตินเคยโทรไปพูดคุยส่วนตัวกับทนายความด้วย?
ติน วรัญญู : ในสายเขาก็พูดแบบนี้เลย คือ ให้เราไปฟ้องเอา ผมก็ถามเขาว่า คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณตกลงว่าจะให้เราเท่านี้แล้ว และเราก็ยอมมา 9 ปีแล้ว ผมเรียกร้องไปกับศาล 1 ล้านนะครับ เขาจะให้ผม 4 แสน ให้ผม 4 พัน ซึ่งแม่ผมหยุดงานตั้งหลายปีเพื่อมาดูแลผม เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ทุกอย่างมีบิลหมด เขาให้ 4 แสนตั้งแต่ศาลชั้นต้น ผมก็ยอม แต่เขาก็มาอุทธรณ์อีก จากนั้นได้มา 2 แสน แม่ผมได้ 0 บาท ผมก็ยังยอม”

“ขณะที่ยอดเงินที่มีการกำหนดขึ้นมานี้ (กรณีคุณตินจะได้ 4 แสนบาท แต่ละครอบครัวได้ไม่เท่ากัน) ไม่ได้มาจากที่เราตกลงกัน แต่เป็นยอดเงินที่ทางฝั่งนั้นเป็นผู้เสนอ เขาเสนอเงินให้ผมเอง ซึ่งผมก็ยอม และเป็นการเสนอต่อศาล ไม่ใช่ว่าแอบไปทำกันลับๆ จากนั้นก็ทิ้งระยะเวลาไปอีก 1 เดือน เพื่อทำเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายเงินให้มันจบสิ้น แต่พอวันจ่ายเงินจริง เขาบอกของคุณวรัญญู เขาไม่ให้แล้ว 4 แสน เขาให้แค่ 2 แสนบาทนะ”

“เราจึงรู้สึกว่า มันจบแล้วสำหรับความไว้ใจ และมันจบแล้วสำหรับโอกาสที่ผมให้เขาเสมอมา ผมตัดสินใจไม่รับเงินนั้น เราจึงบอกว่า ให้ศาลฎีกาเปิดคำพิพากษาแล้วกัน”

“เขาพูดมาคำๆหนึ่ง หลังที่ผมพูดว่า ทำไมทำแบบนี้ล่ะครับ เพราะผมรู้สึกไม่โอเคเลย ตอนแรกคุณบอกว่าคุณมีเงิน และคุณบอกว่าคุณมีเงินก้อนหนึ่ง พร้อมขอให้เราเห็นใจหน่อย ซึ่งเราก็เข้าใจ และยอมมาโดยตลอด จากนั้นเขาก็สวนขึ้นมาทันทีว่า ผมถามว่า สรุปว่าคุณจะเอาไหม 2 แสน ผมตอบกลับไปว่า ไม่เอาครับ และเขาตอบว่า โอเค ถ้าคุณไม่เอาก็คือจบ”

“ผมก็พูดว่า อย่าเอาเงินแค่นี้มาซื้อเราเลย คุณเอาเงินไปทำบุญให้กับผู้ใหญ่ของคุณเถอะ เพราะคุณดึงพวกเขามา ตอนนั้นผมพูดด้วยความโกรธ ซึ่งที่ผ่านมาคุณได้อ้างคุณงามความดีของผู้ใหญ่ในตระกูล พร้อมยืนยันว่าจะไม่บิดพลิ้ว แต่นี่คุณก็บิดพลิ้วอีกแล้ว”

“ติดคุกเขาก็ไม่โดนแล้ว เขาโชคดีแค่ไหนที่ทุกอย่างมันเอื้อให้เขาหมดแล้ว แต่เหยื่ออย่างเราก็ไม่เคยไปงัดเขา เราเลือกที่จะเงียบมาโดยตลอด และเมื่อเขาบอกว่า อยากสู้ให้ถึงที่สุด เราก็ยอมให้เขาสู้” ติน วรัญญู กล่าว

ผู้สื่อข่าว : หลังจากที่ได้ยินคุณแม่ของแพรวา ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวานนี้ เนื้อหาใจความที่เขาพูด คุณคิดเห็นอย่างไรบ้าง?
ติน วรัญญู : 9 ปีผ่านไป คุณเพิ่งมาเปิดเผยว่าคุณมีทรัพย์สินที่ไหน และได้บอกในรายการว่า คุณตั้งใจมาโดยตลอดว่าจะจ่าย ซึ่งอันที่จริงแล้วถ้าคุณตั้งใจจริงๆ คุณคงวางแผนขายทรัพย์สินมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาประกาศขายตอนนี้ หลังจากที่กระแสสังคมมันตี

“ผมออกรายการมาไม่รู้กี่รายการแล้ว แต่ทางเขาก็ยังไม่ติดต่อเข้ามาเลย ถ้าถามผมว่า ผมรู้สึกอย่างไรที่แม่เขาออกมาพูดแบบนี้ สำหรับผม ผมรู้สึกเฉยๆ นะ มันเรื่องของการจัดการที่คุณไม่ควรปล่อยให้มันเป็นปัญหานานถึง 9 ปี” ติน วรัญญู กล่าว

ผู้สื่อข่าว : เคยมีคนรอบๆ ตัวมาเล่าให้ฟังไหมว่า เจอแพรวา หรือมาอัปเดตชีวิตแพรวาให้ฟัง?
ติน วรัญญู : มีๆ แต่ผมไม่ค่อยอยากฟัง จะมีในลักษณะว่า เธอไปเป็นรุ่นน้องพี่คนนี้ ไปเป็นรุ่นพี่ของน้องคนนั้น อะไรทำนองนี้

ผู้สื่อข่าว : หากเจอแพรวา จะจำหน้าเธอได้หรือไม่?
ติน วรัญญู : ไม่น่าจะจำได้แล้วนะ คุณแม่กับคุณพ่อของเขาก็คงจะเช่นกัน เราคงจำหน้าเขาไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาน่าจะจำหน้าผมได้หมดแล้วแหละ

ผู้สื่อข่าว : ถ้าเจอแพรวา อยากจะบอกอะไรกับเธอ?
ติน วรัญญู : ผมไม่ได้โกรธ แค่อยากให้รับผิดชอบอย่างจริงใจ มันเกินไปครับกับ 9 ปีที่ผ่านมา จนถึง ณ ตอนนี้ก็ไม่มีการติดต่อมา ติดต่อมาหน่อยแล้วกันครับ และผมคิดว่า อีกไม่กี่วันเรื่องมันก็คงจะเงียบแล้ว สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าก็เข้าอีหรอบเดิม คือ เขาไม่มีทางออกมาพูดกับผมหรอก

“เอาจริงๆ ผมก็อยากถามเขานะครับว่า ที่ผ่านมารู้บ้างไหมว่าทนายทำอะไรไว้บ้าง” ติน วรัญญู กล่าว

ผู้สื่อข่าว : กระแสสังคมวันนั้น กับกระแสสังคมวันนี้ ถ้านำมาเทียบกัน ตอนไหนมันแรงกว่ากัน?
ติน วรัญญู : สำหรับผม ผมคิดว่าเมื่อ 9 ปีก่อน แม้ว่าตอนนั้นโซเชียลจะยังไม่เยอะเท่าทุกวันนี้ แต่ผมรู้สึกได้ว่าผู้ที่ติดตามข่าวนี้ มีทั้งสาปแช่ง ทั้งด่าทอหนักหนากว่านี้ และ ณ เวลานั้น อารมณ์ทางด้านของความรู้สึกมันหนักมาก เพราะอาจจะมาจากเพิ่งเกิดความสูญเสียสดๆ ร้อนๆ".

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0