โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เปิดรายได้ “ทีวีดิจิทัล” ปี 2561 ยัง “ขาดทุนอ่วม” นับถอยหลัง 7 ช่องลาจอ

Positioningmag

อัพเดต 15 ก.ค. 2562 เวลา 12.20 น. • เผยแพร่ 15 ก.ค. 2562 เวลา 12.18 น.

นับจากเริ่มต้นออนแอร์วันที่25 เม..2557 ของทีวีดิจิทัล24 ช่องกับเม็ดเงินประมูล50,862 ล้านบาทถือครองใบอนุญาต15 ปีจบในวันที่24 เม.. 2572  ผ่านปีแรกลาจอ2 ช่อง(ไทยทีวีและโลก้า) จากนั้นอีก5 ปีต่อมา“7 ช่องขอปิดฉากธุรกิจนี้  ช่องที่เหลือส่วนใหญ่ยังบาดเจ็บกับตัวเลขขาดทุนสะสมนับหมื่นล้านบาท

อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลที่เริ่มต้นในปี 2557 กับความหวังของผู้ประกอบการที่ต้องการเข้ามากอบโกยเม็ดเงินโฆษณาทีวีปีละ 60,000-70,000  ล้านบาท  โดยยึดโมเดลช่องที่ประสบความสำเร็จยุคแอนะล็อก  “ช่อง 3 และ ช่อง 7” ที่ทำกำไรระดับ 5,000 ล้านบาทต่อปี เป็นเป้าหมาย แต่สถานการณ์จริงไม่เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่ปีแรกของการออกอากาศ ด้วยจำนวนช่องธุรกิจที่เพิ่มขึ้น 6 เท่าตัว  ผู้ชมกระจายตัวในทีวีดิจิทัลช่องใหม่ รวมทั้งสื่อออนไลน์ โซเชียล มีเดีย เข้ามาแย่งเวลาผู้ชม จากประชากรไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ทำให้ “เรตติ้ง” ทีวีลดลงต่อเนื่อง แม้กระทั่งช่องผู้นำยุคฟรีทีวีเดิม อย่าง ช่อง 3 และช่อง 7 เม็ดเงินโฆษณาก็ลดลงเช่นกัน ขณะที่การลงทุนทีวีดิจิทัล แต่ละช่องอยู่ที่หลักร้อยถึงพันล้านบาทต่อปี  สิ่งที่ตามมาคือ ภาวะ “ขาดทุน” อย่างหนักของทีวีดิจิทัล“ส่วนใหญ่” ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

เปิดรายได้ทีวีดิจิทัลปี 2561 มีช่องโชว์กำไร

สำหรับผลประกอบการ “ทีวีดิจิทัล” 22 ช่อง ล่าสุดที่แจ้ง กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 “ส่วนใหญ่” ยังขาดทุน  แต่ก็มีช่องทำ "กำไร" เช่นกัน ช่อง 7 HD เป็นช่องผู้นำเรตติ้งตั้งแต่ยุคแอนะล็อก มาในยุคทีวีดิจิทัล แม้ยังกำไรแต่ตัวเลขก็ลดลงเช่นกัน  ปี 2557  รายได้ 10,428  ล้านบาท กำไร  5,510 ล้านบาท  ปี 2561 รายได้  5,750  ล้านบาท กำไร  1,633 ล้านบาท  เวิร์คพอยท์ ช่วงเริ่มต้นปี 2557 ขาดทุน แต่เริ่มทำกำไรตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาจากรายการแนววาไรตี้ เกมโชว์ ที่ถนัด รายได้ปี 2560 ทำสถิตินิวไฮ ที่ 3,877 ล้านบาท กำไร 904 ล้านบาท  จากรายการเรตติ้งฮิต The Mask Singer และ I Can See Your Voice  แม้จะแผ่วลงในปีถัดมา แต่ปี 2561 เวิร์คพอยท์ยังทำรายได้ 3,640 ล้านบาท กำไร  345 ล้านบาท โมโน 29 แม้เริ่มต้นด้วยภาวะ “ขาดทุน” 3 ปีแรก แต่ 2 ปีต่อมา ช่องโมโน ที่ใช้ซีรีส์ ภาพยนตร์ต่างประเทศเป็นคอนเทนต์ชูโรง พลิกมาทำกำไรตั้งแต่ปี 2560 ด้วย รายได้ 1,582 ล้านบาท  กำไร  90 ล้านบาท  และ ปี 2561 รายได้ 3,806 ล้านบาท กำไร  32 ล้านบาท ช่อง 8  ของอาร์เอส ในส่วนธุรกิจทีวีดิจิทัล ภายใต้  อาร์.เอส.เทเลวิชั่น  ช่วง 4 ปีแรก (2557-2560) มีผลประกอบการ “ขาดทุน” เช่นกัน  แต่บริษัทแม่ “อาร์เอส” ที่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากสื่อเป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ (MPC) ทำกำไรมาต่อเนื่อง  ล่าสุดปี 2561  ช่อง 8 โชว์รายได้  1,441 ล้านบาท  กำไร 158 ล้านบาท

กลุ่ม “ขาดทุน” ตัวเลขกระเตื้อง

ช่วง 5 ที่ผ่านมา ทีวีดิจิทัล “ส่วนใหญ่”  ยังอยู่ในภาวะ “ขาดทุน” แต่บางช่องเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้น โดยช่องที่ยังมีอัตราขาดทุนสูง คือ “พีพีทีวี” ของนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ จากการลงทุนคอนเทนต์พรีเมี่ยม ระดับ “เวิลด์ คลาส” ทั้งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฟอร์แมทคอนเทนต์ต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2557  พีพีทีวี ขาดทุนระดับพันล้านบาท มาต่อเนื่อง 5 ปี  ปี 2560 รายได้  317 ล้านบาท ขาดทุน  2,028 ล้านบาท ปี 2561 รายได้  495 ล้านบาท  ขาดทุน 1,837 ล้านบาท ไทยรัฐทีวี ก็เช่นกันช่วง 5 ปีนี้ ขาดทุนเกือบพันล้านบาทต่อปี แต่เห็นสัญญาบวก “รายได้”ขยับขึ้นเช่นกัน ปี 2560  รายได้ 740 ล้านบาท  ขาดทุน 927  ล้านบาท  ส่วนปี 2561  รายได้ 1,099 ล้านบาท ขาดทุน 554 ล้านบาท อมรินทร์ทีวี ที่เผชิญปัญหาขาดทุนตั้งแต่ปี 2557 ทำให้ต้องปรับโครงสร้างธุรกิจ ดึงทุนใหญ่ “ไทยเบฟ” เข้ามาร่วมถือหุ้น 47% ด้วยเม็ดเงินลงทุน 850 ล้านบาท ช่วงปลายปี 2559  เพื่อลดภาระต้นทุนดอกเบี้ย โดยภาพรวมธุรกิจอมรินทร์ กลับมาโชว์ตัวเลข “กำไร” แล้วในปี 2561 แต่ทีวีดิจิทัล ยังคงมีตัวเลข “ขาดทุน” แต่ปรับตัวดีขึ้นมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดย ปี 2560  รายได้ 525  ล้านบาท  ขาดทุน 345  ล้านบาท  ปี 2561  รายได้ 964 ล้านบาท  ขาดทุน 32 ล้านบาท ส่วน 2 ช่องทีวีดิจิทัล ของ “อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม”  มีตัวเลขขาดทุนลดลงเช่นกัน โดย ช่อง ONE 31 ภายใต้ บริษัท วัน สามสิบเอ็ด จำกัด ปี 2561 รายได้ 2,033 ล้านบาท  ขาดทุน 9.3 ล้านบาท ขณะที่ GMM25  ภายใต้บริษัท จีเอ็มเอ็ม แชนแนล จำกัด  ปี 2561 รายได้ 1,714 ล้านบาท ขาดทุน 413 ล้านบาท เช่นเดียวกับทีวีดิจิทัลของเครือซีพี แม้ 5 ปีแรกยังขาดทุน  แต่รายได้ขยับขึ้นและขาดทุนลดลงต่อเนื่อง  ช่อง True4U ปี 2560  รายได้ 794  ล้านบาท   ขาดทุน 328  ล้านบาท ปี 2561  รายได้ 831  ล้านบาท  ขาดทุน 317  ล้านบาท สำหรับ TNN  ปี 2560  รายได้ 395  ล้านบาท  ขาดทุน 125  ล้านบาท ปี 2561  รายได้ 841  ล้านบาท  ขาดทุน  43  ล้านบาท เนชั่นทีวี  ซึ่งขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2557  รายงานรายได้ ปี 2561 อยู่ที่ 185 ล้านบาท  ขาดทุน 8.2 ล้านบาท  ถือเป็นตัวเลขขาดทุนต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ขณะที่ ปี 2560 รายได้ 260 ล้านบาท   ขาดทุน 727  ล้านบาท NEW18 ประสบปัญหาขาดทุนตลอด 5 ปีเช่นกัน  ขณะที่รายได้ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก  ปี 2560 รายได้  124  ล้านบาท  ขาดทุน  461  ล้านบาท  ส่วนปี 2561 รายได้ 117  ล้านบาท ขาดทุน 401 ล้านบาท

7 ช่อง”เตรียมลาจอ “ขาดทุน” 5 ปี

ภาวะขาดทุนต่อเนื่อง 5 ปี และยังไม่เห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงมี 7 ช่อง” ขอคืนใบอนุญาต ออกจากตลาด หลังจากมีคำสั่ง คสช. มาตรา 44 ออกมาแก้ปัญหา  “ฐากร ตัณฑสิทธิ์”  เลขาธิการ กสทช. บอกว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล “ขาดทุน” ไปแล้วกว่า 10,000 ล้านบาท โดยทีวีดิจิทัลทั้ง 7 ช่อง ที่คืนใบอนุญาตจะได้รับเงินชดเชยรวม 3,000 ล้านบาท  โดยทั้ง 7  ช่องที่เตรียมลาจอ คือ สปริง 26 (NOW26 ), สปริงนิวส์ 19,  ไบรท์ทีวี,  วอยซ์ทีวี, ช่อง 14 MCOT Family,  ช่อง 3SD  และ ช่อง 13 Family จะทยอยยุติออกอากาศตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.-1 ต.ค.2562   สำหรับผลประกอบการของกลุ่มบีอีซี เวิลด์ ปี 2561  ช่อง 3แอนะล็อก  (ออกอากาศคู่ขนาน ทีวีดิจิทัล ช่อง 3 HD) ในนาม บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด แสดงรายได้ 5,559 ล้านบาท  ขาดทุน 969  ล้านบาท ส่วน บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 3 ช่อง คือ  ช่อง 3 HD ช่อง 3 SD  และ ช่อง 3 Family ปี 2561 แสดง รายได้  2,572  ล้านบาท  กำไร 111 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการโดยรวม บีอีซี เวิลด์ ปี 2561 ที่แจ้งตลาด มีรายได้ 10,504 ล้านบาท ขาดทุน 330 ล้านบาท  ภาวะขาดทุนดังกล่าวจึงเป็นสาเหตุให้ บีอีซี ขอคืนใบอนุญาตทีวีดิจิทัล 2 ช่อง เพื่อกลับมาสร้างความแข็งแกร่งให้ช่อง 3 HD กลับมาทำกำไรอีกครั้ง อสมท  เจ้าของใบอนุญาต ทีวีดิจิทัล 2 ช่อง  คือ ช่อง MCOT 30 และช่อง 14 MCOT Family  ประสบปัญหา “ขาดทุน” ตั้งแต่ปี 2559  เป็นต้นมา ปี 2560  รายได้ 2,728  ล้านบาท   ขาดทุน 2,541  ล้านบาท ส่วนปี 2561  รายได้  2,102 ล้านบาท   ขาดทุน 373 ล้านบาท  อสมท จึงขอคืนใบอนุญาต ช่อง 14 MCOT Family สปริง 26  หรือเดิมคือ NOW 26  ประสบปัญหาขาดทุนตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจทีวีดิจิทัลเช่นกัน และตัดสินใจคืนช่องในท้ายที่สุด  โดยปี 2561 รายได้ 224 ล้านบาท  ขาดทุน 178 ล้านบาท ส่วน วอยซ์ทีวี ปี 2561 รายได้ 121 ล้านบาท ขาดทุน 352 ล้านบาทไบรท์ทีวี ปี 2561  รายได้ 391 ล้านบาท  ขาดทุน 15 ล้านบาท  และ สปริงนิวส์ 19 ปี 2561 รายได้ 239 ล้านบาท  ขาดทุน 16 ล้านบาท

7 ช่องคืนใบอนุญาตเลิกจ้างกว่า 500 คน

การประกาศคืนใบอนุญาตของ ทีวีดิจิทัล 7 ช่อง ที่จะทยอย “จอดำ” ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค.- 1 ต.ค.นี้  สิ่งที่ตามมาก็คือการ “เลิกจ้าง” พนักงาน ประเมินกันว่า ทีวีดิจิทัล 7 ช่อง จะมีการเลิกจ้างพนักงานราว 500 คน ประกอบไปด้วย2 ช่องเด็ก คือ ช่อง 3 family และ MCOT Family รวม 100 คน ส่วน 3 ช่องข่าว คือ ไบรท์ทีวี, วอยซ์ทีวี และสปริงนิวส์ รวม 250 คน เนื่องจากทยอยลดคนไปก่อนหน้านี้แล้ว ช่องสปริงนิวส์ 19 ได้ย้ายบุคลากรไปยังช่องสปริง 26 (NOW 26) ช่องวอยซ์ทีวี ย้ายไปทำทีวีดาวเทียมและสื่อออนไลน์  ไบรท์ทีวี ยังคงมีบางส่วนทำสื่อออนไลน์   ขณะที่ 2 ช่อง วาไรตี้ SD คือ ช่อง 3 SD และ สปริง 26 รวม 150 คน กรณีคืนช่อง 3 SD และช่อง 13 Family ของบีอีซี เริ่มทยอยเลิกจ้างพนักงานแล้ว โดยเฉพาะทีมข่าว ที่มีการลดจำนวนคนในแต่ละโต๊ะข่าวลงจำนวนมาก ประเมินกันว่าอาจจะมีการเลิกจ้างราว 200 คน สถานการณ์เลิกจ้างบุคลากรในสื่อทีวีดิจิทัล จากภาวะขาดทุน นับตั้งแต่เริ่มต้นออกอากาศปี 2557 มาถึงการคืนใบอนุญาตปี 2562 มีคนสื่อถูกเลิกจ้างกว่า 1,000 คน ทั้งช่องที่ยังอยู่และช่องที่คืนใบอนุญาต  สำหรับช่องที่ยังประกอบกิจการอยู่ก็ยังคง “รัดเข็มขัด” กันต่อไปในภาวะที่ธุรกิจยังไม่กำไร ข่าวเกี่ยวเนื่อง

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0