กรณีกลุ่มคนร้ายราดน้ำมันจุดไฟเผา พระสมจิตขันติธโร เกิดทรัพย์ หรือ หลวงพ่อแต อายุ 53 ปี พระนักบุญที่ชอบใช้ยาสมุนไพรช่วยชาวบ้าน ภายในสำนักปฏิบัติธรรม บ้านโพนทอง หมู่ 3 ต.หนองพันทา อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ แต่ไม่ได้เอาทรัพย์สินใด ๆ ไป เบื้องต้นพุ่งเป้าไปที่เรื่องกลุ่มคนจะจัดทำบุญทอดผ้าป่า แต่หลวงพ่อแตไม่สบายใจ สั่งห้ามเอาชื่อสำนักปฏิบัติธรรมไปพิมพ์หน้าซองผ้าป่า จนเกิดเหตุสลด
ต่อมา วันที่ 15 ก.ค. 62 ตำรวจได้คุมตัว 3 ผู้ต้องหาจาก จ.ศรีสะเกษ นั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงที่สนามฟุตบอล รร.โซ่พิสัยพิทยาคม จ.บึงกาฬ ก่อนจะคุมตัวไปสอบสวนที่ สภ.โซ่พิสัย โดยผู้ต้องหาประกอบด้วย 1.พระบัญชา หรือนายบัญชา จันทร์คำ อายุ 37 ปี 2.นายทนงศักดิ์ โสกแก้ว อายุ 43 ปี และ 3.นายสมุทร์ วันอุบล อายุ 67 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจ.ศรีสะเกษ จากการสอบสวนเบื้องต้นนายทนงศักดิ์ โสกแก้ว และนายสมุทร์ วันอุบล ยอบรับสารภาพว่าได้ถูกพระบัญชาว่าจ้างเป็นเงิน 1 หมื่นบาทให้ขับรถมาส่งที่สำนักสงฆ์ที่เกิดเหตุ โดยทั้ง 2 นั่งรออยู่ในรถ
วันทึ่ 16 ก.ค.62 พ.ต.อ.ชัยยุทธ ธรรมสุนา ผกก.สภ.โซ่พิสัย ให้ข้อมูลว่า ทราบพฤติการณ์คนร้ายจากการไล่กล้องวงจรปิด โดยเห็นรถกระบะเข้ามาวิ่งใกล้ที่เกิดเหตุในเวลาเที่ยงคืนทุ่มถึงตี 1 ของวันที่เกิดเหตุ (6 ก.ค.) จึงเป็นหลักฐานไปขออนุมัติศาลจังหวัดบึงกาฬ ออกหมายจับบุคคลต้องสงสัยทั้ง 3 คน ซึ่งวันนี้ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
จากคำสารภาพของนายบัญชาอ้างว่าเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแต และเคยจำวัดที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้านโพนทองมาก่อน ระหว่างที่อยู่ด้วยกันก็เห็นพฤติกรรมของหลวงพ่อแตในเชิงไม่ดี เช่น การมั่วสีกา, กินเหล้า จนมาเรื่องของการทอดกฐิน เนื่องจากนายบัญชารับจัดทอดผ้ากฐินจากญาติโยมกลุ่มหนึ่งมาแล้ว แต่ปรากฏว่าหลวงพ่อแตกลับไม่สนใจ และไปรับทอดกฐินมาจากญาติโยมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผ้ากฐินไม่สามารถจัดทับซ้อนกันได้ หลวงพ่อแตเลยไม่เอางานบุญผ้ากฐินของตน ทำให้เสียหน้า เสียความรู้สึก จึงขอแยกย้ายออกไปจากสำนัก แล้วไปอยู่ที่ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งความแค้นก็ไม่หาย
หลังจากนั้นจึงไปอ้างกับชาวบ้าน 2 คนใน จ.ศรีสะเกษ คือนายทนงศักดิ์และนายสมุทร์ ให้พามาส่งที่สำนักปฏิบัติธรรม และอ้างกับ 2 คนดังกล่าวว่า จะมาที่สำนักเพื่อมาเอาเทียนพรรษา และว่าจ้างเป็นเงิน 1 หมื่นบาท และก่อเหตุดังกล่าว
นอกจากนี้ นายบัญชาอ้างว่าไม่ได้เจตนาที่จะฆ่า แค่สั่งสอน ซึ่งจากคำกล่าวอ้างของนายบัญชา ผกก.สภ.โซ่พิสัยมองว่า นายบัญชาอาจมองว่าตัวเองคล้ายกับผู้พิทักษ์ศาสนาไม่อยากให้มีเรื่องมัวหมองในพระพุทธศาสนา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน นอกจากนี้ ยังมีพระอีก 1 รูปที่ชื่อว่า พระสี ร่วมขบวนการในครั้งนี้ด้วย ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี
ด้านนายพรนิพล แก้วเบญจา หรือ บี้ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดกับหลวงพ่อแต เปิดเผยว่า พระบัญชาและพระสีมีศักดิ์เป็นญาติพี่น้องและได้เดินมาที่สำนักสงฆ์เพื่อให้หลวงพ่อแตถอนมนตร์ดำให้ เนื่องจากเป็นคนชอบเล่นมนตร์ดำแล้วของเข้าตัว จนสุดท้ายก็หายขาด พระทั้ง 2 รูปก็ได้อยู่ที่สำนักปฏิบัติธรรม แต่พระบัญชาจะไม่ได้อยู่ถาวร โดยหลวงพ่อแตก็เอ็นดูพระบัญชาจนถึงขั้นรับอุปถัมภ์ดูแลเป็นลูกบุญธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนก็เห็นว่า หลวงพ่อแตเป็นคนพูดจาสุภาพ แต่หากพูด “มึง”, “กู” ก็จะพูดกับคนที่ประพฤติตัวไม่ดี เช่น ดื่มสุรา เป็นต้น และไม่เคยพูดหยาบคายกับคนอื่น อย่างที่มีบางคนกล่าวอ้าง ส่วนเรื่องสีกาและเรื่องสุรา หลวงพ่อแตไม่ยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน ตนมองว่านายบัญชาไม่ควรนำเรื่องเหล่านี้มากล่าวอ้างกับบุคคลที่ตายไปแล้ว และรู้สึกสมเพชกับคนที่คิดเช่นนี้
สำหรับสาเหตุที่ไม่รับกฐินจากพระบัญชา เนื่องจากพระบัญชาไม่ได้จำวัดที่วัดนี้ และจะนำกฐินที่ทำภายในวัดไปไว้วัดอื่นได้อย่างไร จึงเป็นเหตุผลที่หลวงพ่อแตไม่รับกฐิน เพราะเงินกฐินชาวบ้านอยากที่จะมาพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ จนสุดท้ายแล้วเรื่องราวก็บานปลาย แล้วนำไปสู่การฆ่าหลวงพ่อแต เพราะผู้ก่อเหตุรับไม่ได้ในเรื่องของกฐิน คล้ายกับหลวงพ่อแตไปหักหน้า
นายพรนิพลเชื่อว่า การก่อเหตุครั้งนี้ต้องมีการวางแผนและเตรียมการมาอย่างดี และไม่ได้หวังที่จะสั่งสอน เพราะการเตรียมถังแกลลอนน้ำมันมาถือได้ว่า เป็นเจตนาฆ่าและตั้งใจมาฆ่าโดยเฉพาะ ทั้งที่ตัวเขาเองก็นุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่แต่ก็ยังกระทำ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนก่อเหตุได้ก็รู้สึกสบายใจ แต่ตนก็รู้สึกไม่สบายใจที่หลังจากนี้จะไม่เจอหลวงพ่อแตอีกแล้ว
https://youtu.be/pyb1ZL_ASTU
