โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เปิดตัวทีม“SCB Wealth Holistic Experts” แนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส2

Money2Know

เผยแพร่ 26 เม.ย. 2562 เวลา 06.33 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
เปิดตัวทีม“SCB Wealth Holistic Experts” แนะกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส2

ไทยพาณิชย์เปิดตัว “SCB Wealth Holistic Experts” ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทุกมิติ พร้อมคาดการณ์ GDP ในปี 2562 อยู่ที่ 3.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.8% เชื่อปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศกลับมาเป็นบวกต่อตลาด

ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัวทีมคลังสมองด้านการลงทุนและต่อยอดสร้างความมั่งคั่งสำหรับกลุ่มลูกค้าเวลธ์ของธนาคาร ภายใต้ชื่อ “SCB Wealth Holistic Experts” รวมทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการเงินการลงทุนใน 3 ด้านอย่าง SCB CIO Office, SCBS Wealth Research และ SCB Estate Planning & Family Office Service เข้าด้วยกัน เพื่อคัดกรองบทวิเคราะห์ พร้อมจับจังหวะและทิศทางการลงทุนครอบคลุมตลาดโลก ตลาดทุนไทย รวมถึงข้อกฎหมายสำคัญที่น่าสนใจและต้องโฟกัสเป็นพิเศษในแต่ละช่วงเวลา

พร้อมกันนี้ทีม “SCB Wealth Holistic Experts” ยังได้เผยถึงทิศทาง มุมมอง และกลยุทธ์ด้านการลงทุนในไตรมาส 2

นายศรชัย สุเนต์ตา
นายศรชัย สุเนต์ตา

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ของโลก มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในทิศทางเดียวกัน (Synchronize Slowdown) สอดคล้องกับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก (GDP) ในปี 2562 ลงอยู่ที่ 3.3% จาก 3.5% ที่ได้ประมาณการไว้ครั้งก่อน 

ขณะที่ธนาคารกลางหลัก ๆ ทั่วโลก ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในไตรมาส 2/2562 ซึ่งส่งผลให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางจีน (PBoC) ซึ่งเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก

อัตราดอกเบี้ย ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ แต่อย่างไรก็ตามหากเครื่องชี้วัดต่างๆ ในช่วง 3 - 4 เดือนข้างหน้า บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง Fed อาจส่งสัญญาณเปลี่ยนมุมมองต่อนโยบายการเงิน (Monetary Policy Stance) เป็นโทนเชิงเข้มงวดมากขึ้น (Hawkish) เพื่อเตือนตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 แม้ว่ายังจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2562 จริงก็ตาม

สำหรับ เงินดอลลาร์ สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในไตรมาส 2/2562 เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Yield Curve ของสหรัฐฯ ก็อยู่สูงกว่าเช่นเดียวกัน สำหรับสกุลเงินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศที่มีเสถียรภาพแข็งแกร่ง มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงิน ดอลลาร์ สหรัฐฯ

แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
แนวโน้มเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง โดย SCB-EIC คาดการณ์ GDP ในปี 2562 อยู่ที่ 3.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 3.8% จากการส่งออกสินค้าที่ลดลงมากกว่าคาด ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ตลอดปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอลงมากกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยในระยะถัดไปจะขึ้นอยู่กับช่องว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Monetary Policy Gap) ระหว่างสหรัฐฯ และไทย

กลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 2/2562

ตลาดตราสารหนี้ (Fixed Income) มองว่า Yield Curve ไม่น่าจะกลับมา Inverted ในไตรมาส 2/2562 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณดีขึ้น และตลาดรับรู้เรื่องการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของ Fed ไปมากแล้ว

ซึ่งหากเศรษฐกิจส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ Fed กลับมาส่งสัญญาณเปลี่ยน Policy Stance เป็นโทนเชิงเข้มงวดมากขึ้นเพื่อเตือนตลาด ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 แม้ว่ายังจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2562 จริงก็ตาม เป็นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีได้ ดังนั้น ไม่แนะนำลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวต่างประเทศ

- US High Yield ไม่แนะนำให้ลงทุน เนื่องจาก คุณภาพเครดิต (Credit quality) ของตราสารหนี้เอกชนสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากสัดส่วนของ US High Yield (rating ตั้งแต่ BBB ลงไป) ที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ที่ 60% ของทั้งหมด นอกจากนี้ Valuation ของ US High Yield ในปัจจุบัน ถือว่าค่อนข้างแพง สะท้อนจาก Credit spread ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก

- ตราสารหนี้ไทยอายุไม่เกิน 5 ปี ยังน่าสนใจลงทุน เนื่องจากคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในปีนี้

ตลาดตราสารทุน (Equity) มองว่าตลาดหุ้นที่ปรับลดลงในช่วงไตรมาส 4/2561 ได้สะท้อนปัจจัยลบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed และตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปีนี้แล้วบางส่วน สำหรับในไตรมาส 2/2562 ยังสามารถทยอยสะสมหุ้นในบางตลาดได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

- แรงกระตุ้นจากธนาคารกลางทั่วโลก ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบปรับเพิ่มขึ้น

- ตัวเลขเศรษฐกิจในบางประเทศเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น เช่น PMI ภาคการผลิตของจีนกลับมาฟื้นตัว ยืนเหนือ 50 จุด หลังทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และ ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น

- ความเสี่ยงที่เริ่มคลี่คลายลง ทั้งประเด็น Brexit และ Trade War

น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นหลักต่างๆ 

- Overweight: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ได้แก่ หุ้นกลุ่ม Low Volatility และ Healthcare ซึ่งมีแนวโน้ม Outperform หุ้นกลุ่ม Cyclical ในเศรษฐกิจ Late Cycle

- Underweight: ตลาดหุ้นยุโรป เศรษฐกิจยูโรโซนส่งสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจน ขณะที่ประเด็น Brexit ยังยืดเยื้อ

- Neutral: ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นจีน โดยเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวตามมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของทางการจีน อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีน A Share ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% นับตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ Upside ปรับลดลง และอาจมีความเสี่ยงจากการถูกขายทำกำไร ดังนั้นแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีการอ้างอิงผลตอบแทนขาขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นจีน แต่มีการ Protect Downside เช่น structure note หรือ structure funds

กลยุทธ์การลงทุน “สินทรัพย์ทางเลือก” ไตรมาส2/2562
กลยุทธ์การลงทุน “สินทรัพย์ทางเลือก” ไตรมาส2/2562

กลยุทธ์การลงทุน "สินทรัพย์ทางเลือก" ในตลาดหุ้นช่วงไตรมาส 2/62 และ ไตรมาส 3/62

- ทองคำ: Underweight เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นเทียบเงินสกุลหลัก ประกอบกับนักลงทุนเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และขายทองคำหลังตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น

- น้ำมัน: Neutral โดยราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจำกัด เนื่องจากตลาดรับรู้ประเด็นที่สหรัฐฯ จะคว่ำบาตรอิหร่านไปพอสมควรแล้ว และกลุ่มโอเปก นำโดยซาอุดิอาระเบีย สามารถกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต โดยไม่คงนโยบายลดกำลังการผลิตอีกต่อไป เนื่องจากราคาดึงดูดให้ผลิตเพิ่ม

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0