โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เบื้องหลัง “คลายล็อกเฟส 3" เตรียมยกเลิก "พรก.ฉุกเฉิน" หลังระยะ4

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 29 พ.ค. 2563 เวลา 03.14 น. • เผยแพร่ 29 พ.ค. 2563 เวลา 12.51 น. • Thansettakij

นายกรัฐมนตรี ยอมรับในที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ว่าอาจจะ ยกเลิก "พรก.ฉุกเฉิน" หลังระยะที่ 4 หากสถานการณ์ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ศบค.ได้มีมติ "ผ่อนคลายล็อกระยะที่ 3 หรือ เฟส3 ซึ่งจะเริ่มวันที่ 1 มิ.ย.นี้ ที่หลายกิจการ/กิจกรรม ได้กลับมาเปิดทำการ แต่ต้องมีมาตรการคุมเข้ม ขณะเดียวกันมีการลดเวลาเคอร์ฟิว เหลือเวลา 23.00-03.00น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค. โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม 

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพิจารณากำหนด มาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ หรือมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 3 ขอให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ และเมื่อประกาศมาตรการผ่อนคลายแล้วขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจวิธีคิด เหตุผลในการผ่อนคลายกิจการกิจกรรมใดๆ และมาตรการบริหารในพื้นที่ ตลอดจนตรวจติดตาม และเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ในส่วนของการเตรียมการเปิดสถานศึกษา และเปิดการเรียนการสอน ต้องพิจารณา ความพร้อมในทุกด้าน บุคลากรครู และอุปกรณ์การเรียนการสอนให้พร้อม ส่วนระบบการ “เรียนออนไลน์” ก็จะเป็นการใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาส พัฒนาการเรียนออนไลน์สำหรับพื้นที่ห่างไกล จุดเปราะบาง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างเมืองกับชนบท

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า “อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงเจตนาของการขยาย พรก.ฉุกเฉินฯ รัฐบาลทำเพื่อให้การบริหารสถานการณ์ในภาพรวมของ ศบค. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเอกภาพ หากสถานการณ์ดีขึ้นในระยะ 4 อาจจะมีการพิจารณายกเลิก พรก.ฉุกเฉินฯ แต่ยังมีความจำเป็นต้องคง พรก. ไว้ เพื่อเตรียมพร้อมในการดำเนินมาตรการต่ออย่างราบรื่น เพื่อให้ควบคุมสถานการณ์ต่อไปได้ ดำเนินมาตรการรองรับในขั้นตอนต่อๆไปได้ เช่น การใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ”

จากนั้นที่ประชุมฯ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบในส่วนต่างๆ ได้รายงานผลการดำเนินการ เริ่มจาก นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้รายงาน สถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ ว่าจำนวนผู้ป่วยในไทยมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นตามลำดับ จำนวนผู้ป่วยตอนนี้มาจากต่างประเทศ ขณะที่การแพร่ระบาดในประเทศลดลง ส่วนสถานการณ์โลกยังคงน่าเป็นห่วงในหลายประเทศ เช่น บราซิล สหรัฐฯ รัสเซีย อินเดีย และชิลี

กระทรวงสาธารณสุขได้สำรวจพฤติกรรมการป้องกันของประชาชน พบว่าพฤติกรรมการป้องกันตนเองของประชาชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นการใส่หน้ากากที่ประชาชนยังให้ความสำคัญ ประชาชนเดินทางข้ามจังหวัดมากขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่ามีประชาชนเดินทางออกนอกจังหวัดถึง 26% และมีกิจกรรมในการพบปะรวมกลุ่มกันมากขึ้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่า มีคนไทย 11%ไปร่วมกิจกรรมทางสังคม ทั้งนี้ ว่าคนส่วนใหญ่จะยังคงเดินทางไปแค่สถานที่ซึ่งมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประชำวัน ได้แก่ ตลาดสด ซุเปอร์มาร์เก็ต ที่ทำงาน สถานพยาบาล ร้านอาหาร และร้านตัดผม

และจากการสำรวจพบว่า การจัดมาตรการป้องกันของแต่ละสถานที่ยังทำได้ไม่ดี ควบคุมได้เพียง 57% โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่นันทนาการ และศาสนสถาน ทำได้น้อยกว่า 50% และประชาชนเชื่อมั่นว่า ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมการแพร่ระบาด แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่มั่นใจการป้องกันการติดเชื้อด้วยตนเอง และประสิทธิภาพของการออกมาตรการของรัฐบาล

ต่อสถานการณ์ความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีน ขณะนี้ไทยกำลังทดลองในสัตว์ คาดว่าผลของการการทดสอบ 10 แบบ ใน 5 ประเทศ จะใช้เวลา 6-12 เดือน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดการมาจากความร่วมมือของประชาชน และองค์กรส่วนท้องถิ่น แต่สถานการณ์ก็ยังวางใจไม่ได้ ต้องเตรียมพร้อมอยู่เหมือนเดิม เช่น เตรียมการดูแลผู้ป่วย สถานที่ เตียงผู้ป่วย ดำเนินการตามมาตรการคัดกรอง และยังคงต้องใช้มาตรการทางสังคมที่เห็นผลเป็นรูปธรรม ช่วยกันดูแล สอดส่อง และตักเตือน อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดำเนินการเปรียบเทียบมาตรการกับประเทศอื่นๆ ที่มีสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ว่ามีการดำเนินการผ่อนคลายอย่างไร แต่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่รีบร้อน

ต่อจากนั้น พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ได้รายงานการปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงว่าภาพรวมการตรวจ และการดำเนินการของชุดตรวจ พบว่าจับกุมผู้กระทำความผิด ฝ่าฝืน ได้น้อยลง ประชาชน ร้านค้า ให้ความร่วมมืออย่างดี มีกิจกรรมมั่วสุมลดลง

ด้าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รายงานการปฏิบัติการของศูนย์ปฏิบัติการด้านมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนว่าได้ดูแลผู้ถูกกักตัวใน State Quarantine ที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถรองรับผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น และรายงานถึงกิจกรรมที่ยังไม่อนุญาตให้เปิดดำเนินการจำนวน 47,164 แห่ง อนุญาตให้เปิดกิจการ/ กิจกรรมได้ 291,394 แห่ง ทั้งนี้ จากการประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 มีผลปรากฎว่าประชาชนให้ความร่วมมือตามมาตรการป้องกันโรคเกิน 90%

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานภาพรวมการใช้งาน Platform “ไทยชนะ” ว่ามียอดสะสมร้านค้าใช้งาน 125,408 ร้าน จำนวนผู้ใช้งาน 15,592,611 คน ตั้งแต่ 17-28 พฤษภาคม 2563 ส่วนผลการประเมินกิจการ/กิจกรรม ตามมาตรการ ผลคะแนนเกิน 90% ในทุกประเภทธุรกิจ เช่น การถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ธนาคาร คลินิกเสริมความงาม

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 3 โดยพลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รายงานว่าคณะอนุกรรมการพิจารณาถึงมาตรการคัดกรองป้องกันเป็นหลัก โดยประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาดำเนินการคือ มาตรการคัดกรองไข้ และอาการไอ หอบเหนื่อย จาม หรือเป็นหวัด สำหรับพนักงานบริการ และผู้ใช้บริการ และรายงานหน่วยงานรับผิดชอบ กรณีพบผู้ที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ตามแนวทางที่กำหนด

ทุกกิจการและกิจกรรมจัดให้มีการลงทะเบียนก่อนเข้า – ออกสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” หรือใช้มาตรการควบคุมด้วยการบันทึกข้อมูล และรายงานทดแทน

ให้พิจารณาพัฒนานวัตกรรม เช่น การลงทะเบียนเข้า - ออกสถานที่ ระบบการเรียน การสอน การจองคิวแบบออนไลน์ เพื่อให้บริการรูปแบบใหม่ในระยะยาว นำไปสู่การป้องกันควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ

โดยในที่ประชุมได้พิจารณากำหนดกิจกรรมที่ให้ผ่อนคลายล็อกดาวน์ในระยะที่ 3 ได้แก่ สำหรับกิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต เช่น ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ (เปิดถึง 21.00 น.) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เด็กก่อนวัยเรียน ร้านเสริมสวย แต่งผม ตัดผม ไม่เกินรายละ 2 ชม. และไม่มีผู้นั่งรอในร้าน

กิจกรรมด้านการออกกำลังกายดูแลสุขภาพหรือสันทนาการ เช่น  คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สปา และนวดแผนไทย สถานออกกำลังกาย ฟิตเนส โรงภาพยนตร์ สระน้ำหรือกิจกรรมทางน้ำ

ในส่วนของมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่ยังคงไว้ ได้แก่ ยังคงมาตรการควบคุมการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก น้ำ อากาศ  ปรับระยะเวลาเคอร์ฟิว เป็น 23.00 – 03.00 น. สามารถเดินทางข้ามจังหวัดภายใต้มาตรการตามที่ราชการกำหนด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ให้เปิดดำเนินการ ไม่เกินเวลา 21.00 น.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

คลาย "ล็อกดาวน์" ระยะ 4 ส่อยืด "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ถึงสิ้นก.ค.

"ผ่อนคลายล็อกดาวน์" ระยะที่ 3 มีเหตุผลและเงื่อนไขอย่างไร(คลิป)

เช็กที่นี่ ผ่อน "คลายล็อกดาวน์" ระยะที่ 3 เริ่ม 1 มิ.ย. ที่ไหนเปิด-ที่ไหนปิดต่อ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0