โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เที่ยวเชียงรายชิลชิล เยี่ยมบ้านหมอผีม้ง-ลาหู่ พักผ่อนดูวิวภูเขางามที่ "ลันเจีย ลอดจ์"

Manager Online

เผยแพร่ 23 ก.ค. 2562 เวลา 12.03 น. • MGR Online

Facebook :Travel @ Manager

ฤดูฝนเขียวขจีแบบนี้ ใครว่าเที่ยวไม่สนุก "ตะลอนเที่ยว" คิดเมื่อมายืนสูดอากาศสดชื่นอยู่ที่เขียงราย มองความเขียวขจีรอบๆ ตัวแล้วก็อยากชวนทุกคนมาเที่ยวที่เชียงรายกัน โดยที่เชียงรายนี้มีหลากหลายสิ่งที่น่าสนใจทางการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เขามีโครงการเก๋ๆ อย่าง "เชียงราย แต้ แต้" เป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่เชียงรายได้ตลอดปีและเที่ยวได้ทุกช่วงวัย โดยมีแนวคิดคือ "Chiang R A I" ใช้ตัวอักษร R A และ I สื่อความหมายว่า R คือ Relax คือได้เที่ยวแบบชิลชิล ผ่อนคลาย A คือ Art หรือการเที่ยวแบบอาร์ทๆ ชมงานศิลปะของศิลปินชาวเชียงรายหลายท่านที่มากความสามารถ และยังรวมไปถึงงานพุทธศิลป์ล้ำค่าของเชียงรายด้วย และ I คือ Inspiration หรือการสร้างแรงบันดาลใจผ่านแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ

การมาเชียงรายในครั้งนี้ "ตะลอนเที่ยว" ก็ได้เที่ยวครบทั้ง R A I จะไปที่ไหนบ้างนั้นติดตามกันได้เลย

มาเชียงรายครั้งนี้ได้เที่ยวเลาะอยู่ในเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง แถวๆ อำเภอเชียงของและอำเภอเชียงแสน และแวะปิดท้ายกันที่อำเภอแม่สายอีกนิดหน่อย โดยสถานที่แรกที่ได้มาเยือนก็คือที่ “ลันเจีย ลอดจ์” (Lanjia Lodge) ที่พักกึ่งรีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์ที่เน้นแนวทางอนุรักษ์ธรรมชาติและเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวม้งและชาวลาหู่ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านกิ่วกาญจน์ ต.ริมโขง อ.เชียงของ

ที่นี่มีทั้งทิวทัศน์ที่สวยงามและความสงบร่มรื่นตามชื่อ “ลันเจีย” ซึ่งเป็นภาษาม้ง แปลว่าสถานที่ที่สงบ บ้านพักขนาดใหญ่มี 4 หลัง แต่ละหลังแบ่งเป็น 4 ห้องมีห้องน้ำในตัวพร้อมทั้งเครื่องใช้ต่างๆ ในห้องน้ำ ตัวบ้านสร้างอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักและวัสดุอื่นๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น

ห้องพักของที่นี่น่ารักและสะดวกสบาย แม้จะไม่มีโทรทัศน์และเครื่องปรับอากาศก็ไม่เป็นปัญหาเพราะในตอนกลางคืนอากาศก็จะเย็นๆ ใช้เพียงพัดลมและกางมุ้งกันยุงก็อยู่ได้อย่างสบาย และเพื่อไม่ให้เหงาเกินไปที่นี่ก็มีสัญญาณ WiFi ให้บริการ และมีระเบียงกว้างใหญ่ให้มานั่งคุยนั่งเล่น รวมถึงยังเป็นที่กินอาหาร โดยที่นี่มีอาหารเย็น อาหารเช้า และมีพนักงานประจำบ้านคอยบริการอีกด้วย

แต่ที่เป็นจุดเด่นของลันเจีย ลอดจ์ก็คือการมีส่วนร่วมระหว่างโฮมสเตย์กับชุมชน โดยแม้จะเป็นธุรกิจเอกชนแต่ก็พยายามส่งเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ควบคู่กันไป ทั้งการรับคนในชุมชนมาเป็นพนักงาน ให้คนในชุมชนมาเป็นไกด์ท้องถิ่น ใส่การเที่ยวชมชุมชนรวมอยู่ในแพ็คเกจห้องพัก และมีการทำกิจกรรมร่วมกันอย่างการทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักท้องถิ่นดีขึ้น

อย่างที่เราได้มาพักที่ลันเจีย ลอดจ์ในวันนี้ เมื่อได้เก็บข้าวของและพักผ่อนสักครู่หนึ่งแล้ว เราก็ได้ออกเดินเล่นชมภายในหมู่บ้าน โดยมีพี่ประพันธ์ และพี่นารีรัตน์ ซึ่งเป็นชาวม้งในหมู่บ้านกิ่วกาญจน์มาเป็นไกด์พาเดินชมหมู่บ้าน และเล่าให้เราฟังว่า ที่หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรกว่า 300 หลังคาเรือน เป็นชาวม้งประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวลาหู่ และส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์

การเดินชมหมู่บ้านต้องเตรียมแรงกันนิดนึงเพราะที่นี่มีแต่เนินและเนินเพราะเป็นพื้นที่บนเขา เริ่มแรกเราเดินขึ้นบนเขาเพื่อไปหมู่บ้านลาหู่กันก่อน พี่ประพันธ์ชี้ให้ดูความแตกต่างระหว่างบ้านของชาวลาหู่และชาวม้ง โดยบ้านชาวลาหู่จะยกพื้นสูงมีใต้ถุน ส่วนชาวม้งจะสร้างบ้านระดับเดียวกับพื้นดิน

เรามุ่งหน้ามาที่บ้านของหมอผีชาวลาหู่ที่ชื่อว่ายะยอย พร้อมกับได้ฟังเรื่องราวความเชื่อของชาวลาหู่ว่า การเป็นหมอผีนั้นสืบทอดกันทางสายเลือด ชาวลาหู่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาหมอผีเพื่อให้ทำพิธีรักษาให้ ถ้าหมอผีทดสอบแล้วว่าอาการป่วยนั้นเกิดจากการกระทำของผีก็จะรักษาหรือไล่ผีให้ตามความเชื่อต่อไป แต่ถ้าทดสอบแล้วว่าไม่ใช่ก็จะไปหาหมอโรคปัจจุบันเพื่อรักษาตามปกติ

นอกจากนั้นเวลามีเด็กแรกเกิดหมอผีก็จะเป็นผู้เรียกขวัญและตั้งชื่อให้ งานบุญ งานปีใหม่ต่างๆ หมอผีก็จะเป็นผู้ทำพิธี เรียกได้ว่าหมอผีมีความสำคัญในวิถีชีวิตหลายๆ อย่างของชาวลาหู่

ออกจากบ้านของหมอผีชาวลาหู่มาแล้ว เราเดินย้อนกลับลงมาและแวะทำกิจกรรมเขียนเทียนบนผ้ากันต่อ งานเขียนเทียนนี้เป็นงานฝีมือของชาวม้ง โดยใช้ขี้ผึ้งละลายแล้วใช้เดี๋ยงจุ่มเทียนแล้ววาดเป็นลวดลายลงบนผืนผ้า จากนั้นจึงนำไปย้อมสีและละลายเทียนออก ส่วนที่เขียนเทียนไว้ละลายไปกลายเป็นลวดลายสวยงามบนผืนผ้า ชาวม้งมักเขียนเทียนบนผ้าผืนยาวและนำผ้านั้นไปตัดเป็นกระโปรงสวยๆ ไว้ใส่ในงานโยนลูกช่วงซึ่งชาวม้งหนุ่มสาวจะมองหาคนที่ถูกใจไว้คบหาแต่งงานกัน

ตรงนี้ใครไม่เก่งศิลปะก็ไม่เป็นไร เพราะมีลวดลายตัวอย่างไว้ให้ลองเขียนตามกันได้ หรืออยากจะวาดเป็นลายอิสระตามแต่ใจก็ได้เลย

พักทำงานฝีมือเสร็จแล้ว คราวนี้เราไปเยี่ยมบ้านหมอผีชาวม้งซึ่งอยู่ด้านล่างกันบ้าง สำหรับหมอผีของชาวม้งนั้นมีอยู่หลายคน คนที่จะเป็นหมอผีได้นั้นจะถูกเลือกโดยผีฟ้า ไม่จำเป็นต้องสืบทอดกันทางสายเลือดเหมือนหมอผีชาวอาข่า แต่โดยหน้าที่แล้วนั้นก็คล้ายกันคือการรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนในหมู่บ้านที่เกิดจากการกระทำของผี แต่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันในเรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้และวิธีการติดต่อกับผีเป็นต้น

ระหว่างเส้นทางเราก็ได้แวะถ่ายรูปกับมุมต่างๆ ในหมู่บ้าน รู้ตัวอีกทีก็ได้เดินเที่ยวชมในหมู่บ้านจนเกือบถึงเวลาเย็น หลังจากนั้นเราแยกย้ายกันพักผ่อนกินข้าวเย็น และกางมุ้งเข้านอน หลับรวดเดียวจนถึงเช้า

เช้าวันรุ่งขึ้นเรามุ่งหน้าจากเชียงของสู่เชียงแสน แวะไหว้พระและชมวิวสวยๆ ของแม่น้ำโขงกันที่ “วัดพระธาตุผาเงา” (บ้านสบคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน) ซึ่งเป็นพระธาตุสำคัญของเมืองเชียงแสนและเชียงราย

ที่วัดพระธาตุผาเงามีจุดแวะชมหลักๆ อยู่ 3 จุดด้วยกัน จุดแรกอยู่บริเวณตีนเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของก้อนหินใหญ่อันเป็นที่มาของชื่อวัดพระธาตุผาเงา หินก้อนนี้มีรูปทรงสูงใหญ่ เมื่อแสงแดดสาดส่องมาจะเกิดเงาขนาดใหญ่ และได้มีการสร้างพระธาตุไว้ด้านบนก้อนหิน โดยเชื่อกันว่าสร้างมาตั้งแต่ ระหว่าง พ.ศ. 494-512 โดยขุนผาพัง เจ้าผู้ครองนครโยนกองค์ที่ 23

ส่วนวิหารที่อยู่ด้านข้างพระธาตุนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนามว่าหลวงพ่อผาเงา พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ถูกค้นพบใน พ.ศ.2519 มีอายุระหว่าง 700-1,300 ปี

นอกจากนั้นหากขับรถขึ้นเขาไปอีกจะพบกับพระอุโบสถไม้สักทองที่ภายในแกะสลักเรื่องราวพุทธประวัติอย่างสวยงาม และด้านบนสุดจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุพุทธนิมิตเจดีย์ ซึ่งสร้างครอบเจดีย์โบราณสามองค์ที่ทรุดโทรมมาก อีกทั้งบนนี้ยังเป็นจุดชมวิวสามแผ่นดินที่งดงามอย่างมาก มองเห็นแม่น้ำโขงคดเคี้ยว ฝั่งตรงข้ามเป็นแผ่นดินลาว และมองไปไกลๆ ทางซ้ายมือก็เป็นประเทศเมียนมาร์ หรือบริเวณสามเหลี่ยมทองคำนั่นเอง

จากนั้นก็ได้เวลาย้อนอดีตกันที่ “เมืองโบราณเชียงแสน” ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเชียงแสน อันถือเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของล้านนา เป็นที่ตั้งของวัดและซากโบราณสถานมากมาย ทั้งวัดร้างและไม่ร้างกว่า 76 วัดด้วยกัน

เราใช้บริการรถรางของเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน ที่มีให้บริการฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นหมู่คณะ (ต้องติดต่อมาก่อนล่วงหน้า แต่สำหรับคนที่มาเที่ยวกันเองอาจขับรถเที่ยวหรือปั่นจักรยานก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ) นั่งชมบรรยากาศภายในกำแพงเมืองเก่าของเชียงแสนที่ผู้คนและชุมชนอยู่ร่วมกับโบราณสถาน พร้อมกับผู้บรรยายที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองเชียงแสนให้ฟัง

สำหรับเวียงเชียงแสนนั้น เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างในชื่อของ "อาณาจักรโยนกนาคพันธุ์" หรือ "เวียงปรึกษา" หรือที่คุ้นชินกันที่สุดอีกชื่อก็คือ "เมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสน" ที่นี่เคยมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 24 พระองค์จนถึงช่วงสมัยของพระยามังรายที่ได้ย้ายศูนย์กลางของเมืองมาที่เวียงเชียงราย ก่อนที่ภายหลังจะมีการสร้างบ้านแปงเมืองเชียงใหม่ขึ้นมา ให้กลายเป็นศูนย์กลางอาณาจักรล้านนา ดังปรากฏมาจนทุกวันนี้

ส่วนโบราณสถานที่สำคัญที่เราได้ชมกันในวันนี้ก็คือ "วัดป่าสัก" วัดร้างที่มีองค์เจดีย์อันงดงามและค่อนข้างสมบูรณ์ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลมาจากหริภุญไชย รูปแบบฐานคล้ายกับองค์เจดีย์กู่กุด จ.ลำพูน มีศิลปกรรมผสมผสานทั้ง พุกาม ขอม สุโขทัย ลวดลายปูนปั้นที่อยู่เหนือกาลเวลาเนิ่นนานหลายร้อยปีแลดูงดงาม

ส่วนที่ "วัดพระธาตุเจดีย์หลวง" ซึ่งเป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดของเมืองเชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภูสำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุกระดูกหน้าอก เจดีย์ประธานเป็นทรงระฆังกลมฐานสูงแปดเหลี่ยมแบบล้านนา ถือได้ว่าเป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของเชียงแสน

มาปิดท้ายแบบชิลชิลกันที่ “ดอยผาหมี” (ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย) ซึ่งที่นี่ถือเป็นต้นกำเนิดการปลูกกาแฟแห่งแรกของไทยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้พระราชทานให้กับชาวเขาเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น ดังนั้นที่นี่จึงเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ใหญ่และมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของไทย ทั้งยังมีทิวทัศน์ที่งดงามเขียวขจี โดยเราได้มากินอาหาร จิบกาแฟ และชมวิวกันที่ “โอโซนผาหมี” โดยที่ร้านใช้กาแฟที่ปลูกเองในพื้นที่ แถมยังมีอาหารที่โดดเด่นไม่เหมือนที่อื่นคือเป็นอาหารชนเผ่าอาข่าให้ลองชิม

ได้ทั้งชิมอาหารอร่อยๆ จิบกาแฟชมวิวสบายตา รวมถึงได้แชะรูปกับมุมเก๋ๆ ของที่ร้านที่มีข้าวโพดแขวนตากแห้ง พริกแห้งวางตากแดด สีเหลืองและสีแดงสดใสสร้างสีสันให้รูปถ่ายสวยขึ้นไปอีก

และหากใครยังพอมีเวลาก็สามารถขึ้นไปเที่ยวและจิบกาแฟอร่อยๆ ที่บ้านผาฮี้ต่อได้อีก หรือจะขับลงมาด้านล่างเพื่อมาเที่ยวถ้ำหลวงและสระขุนน้ำมรกตต่อเลยก็ได้ เพราะอยู่ไม่ห่างกัน โดยสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจอยากจะมาเที่ยวที่เชียงราย สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก ได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย โทร.0 5374 4674 อีกทั้งยังสามารถดูโปรโมชันเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชียงรายในโครงการเชียงรายแต้ แต้ ได้ที่เฟสบุคและไลน์แอด @tatchiangrai ถึงเดือนกันยายน 2562 นี้

สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager

.

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0