โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

เทคนิคออกกำลังกาย! ฉบับ "เบเบ้-ธันย์ชนก" ฟิตยังไงให้เป็น Routine !?

OK Magazine Thailand

เผยแพร่ 24 มิ.ย. 2562 เวลา 04.27 น.
เทคนิคออกกำลังกาย! ฉบับ
เทคนิคออกกำลังกาย! ฉบับ “เบเบ้-ธันย์ชนก” ฟิตยังไงให้เป็น Routine !?

ถือเป็นอีกหนึ่งสาวเก่งที่มาพร้อมไลฟ์สไตล์สุดแอคทีฟ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็สามารถต่อยอดให้ตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู่อื่นเสมอ สำหรับ เบเบ้-ธันย์ชนก ฤทธินาคา เซเลบริตี้สาวมากความสามารถที่ฝากผลงานมาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะไอดอล นักร้อง นักแสดง นางแบบ พิธีกร หรือกระทั่งอาจารย์พิเศษ ด้านการตลาด (Marketing) ล่าสุด! นอกจากจะเป็นเจ้าของแฟนเพจ Bebe Fit Routine ที่มียอดผู้ติดตามกว่าล้านคนแล้ว ตอนนี้เธอยังสามารถคว้าใบ Certified Personal Trainer จากสถาบันอเมริกา ACE (American Counting of Exercise) พร้อมสำหรับการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวอย่างเต็มตัว หลังจากมีความสนใจด้านการออกกำลังกายและศึกษาอย่างจริงจังมาเป็นเวลาหลายปี ครั้งนี้เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเธอ เรามาค้นหาแรงบันดาลใจในการดูแลสุขภาพจากสาวตัวเล็กร่างแกร่งคนนี้กันดีกว่า…

ตอนนี้ได้ใบรับรองอะไรนะ ?

ตอนนี้เพิ่งเรียน PP จบค่ะ ก็ได้ใบเซอร์ของ ACE (American Counting of Exercise) ซึ่งก็คือ Certified Personal Trainer สำหรับเทรนเนอร์ส่วนตัวที่เทรนด์คนต่อคน แต่อันนี้จะเป็นใบรับรองจากสถาบันที่อเมริกา ชื่อว่า ACE อย่างเช่นที่เมืองนอก ใครที่จะเป็นเทรนเนอร์ได้ เขาจะต้องมีใบรับรอง เหมือนเป็นหมอก็ต้องมีใบแพทย์ เพราะเขาคิดว่าเทรนเนอร์เป็นอาชีพที่ทำให้คนบาดเจ็บได้ หากเราไม่รู้เทคนิคหรือสอนอะไรไม่ดี การออกกำลังกายทุกอย่างมีความเสี่ยงก็เลยต้องมีใบเซอร์ แต่ของไทยยังไม่บังคับ คือเราก็เรียนไว้ก่อน

ตอนนี้สามารถเทรนคนอื่นได้แล้ว ?

ใช่ เนื่องจากว่าเราทำYouTube และ Facebook Fanpage : Bebe Fit Routine ตอนนี้พวกโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่เราทำจะเป็นคอนเทนต์ออกกำลังกายหมดเลย ทำให้มีคำถามเยอะมากเกี่ยวกับการออกกำลังกายว่า… ต้องออกยังไง? ต้องกินยังไง? ต้องเล่นท่าไหน? คือเป็นคำถามที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ทำให้ตอบไม่ได้ ก็เลยคิดว่าถ้ามาทางนี้แล้ว คนที่เขาสนใจ ถ้าเขาอยากได้ความรู้จากคอนเทนต์เรื่องนี้ เราเลยไปเรียนเพิ่มดีกว่าก็เลยเหมือนมีที่มาจาก การเรียนเพื่อคนอื่น

เตรียมตัวยังไง สำหรับการสอบเทรนเนอร์ครั้งนี้ ?

เราก็ลงเรียนสถาบันที่ไทยก่อน 5 เดือน เพื่อที่จะได้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆ แล้วค่อยสอบกับข้อสอบที่ส่งมาจากอเมริกาอีกที เพราะสอบครั้งหนึ่งต้องใช้เงินหมื่นกว่าบาท และมีโอกาสทำแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ผ่านก็คือต้องจ่ายใหม่ตลอด ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆ ที่เราจะสอบผ่านได้ ก็เลยไปลงเรียนก่อน ซึ่งคอร์สนี้ก็ใช้เวลา 5 เดือน

ย้อนกลับไป…จุดเริ่มต้นในการออกกำลังกายของ "เบเบ้" คืออะไร ?

เราเริ่มเข้ายิมจากการเตรียมตัวสำหรับงานแต่ง เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ก่อนที่จะแต่งงานก็จูงมือกันไปกับแฟน ไปสมัครคอร์สที่ฟิตเนส แล้วก็เริ่มออกกำลังกายกัน แล้วก็ติดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วก็ออกเรื่อยๆ

ทำยังไงให้มีวินัยกับตัวเองจนสามารถเป็น "เทรนเนอร์" อย่างตอนนี้ได้ ?

จริงๆ เรื่องวินัยเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลย แต่ว่า "วินัย" มันสร้างได้อยู่แล้ว แต่สำหรับเรามันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าเราอยากทำอะไรเราต้องทำให้ได้ เราจะต้องเต็มที่กับมัน อย่างตอนเรียนหนังสือเราก็จะเต็มที่ คือเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายและวาดเส้นทางไปสู่ทางนั้นได้ เหมือนเป็นนิสัยส่วนตัวของเราเอง

เริ่มวาดเป้าหมายเมื่อไร ?

สำหรับเป้าหมายตอนนี้ เริ่มชัดเมื่อปีที่แล้วที่เริ่มสร้างเพจและคนให้ความสนใจ ถามเข้ามาเยอะ แล้วเราก็เริ่มสนุกกับการออกกำลังกายจริงจังมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ทฤษฎีต่างๆ มากขึ้น จากนั้นก็เริ่มตั้งเป้าหมาย

ความรู้ของ "เบเบ้" ในตอนนี้ สั่งสมมาจากอะไรบ้าง ?

ก่อนหน้านี้ความรู้ส่วนหนึ่งมาจากที่เราฝึกเองด้วย จากที่เราจ้างเทรนเนอร์ เราก็เรียนรู้จากเขา เขาบอกอะไรเราก็จำมา และหาข้อมูลเองในอินเตอร์เน็ตด้วย ด้วยความสนใจและออกกำลังกายทุกวัน เวลาที่เราเสพสื่อหรือดูโน่นนี่ก็จะกลายเป็นเรื่องออกกำลังกายไปหมด แล้วพอมารู้ทฤษฎีลึกๆ อีกที ก็ตอนที่เราเรียนเพิ่ม

อะไรคือเหตุผล… ที่ทำให้มาถึงจุดนี้ ?

การออกกำลังกายเหมือนเป็นโลกใหม่ของเรา คือไม่ใช่แค่ทำให้เราเข้ายิมๆ อย่างเดียว แต่มันกลายเป็นว่าไลฟ์สไตล์ทุกๆ อย่าง ทั้ง ความคิด การใช้ชีวิต เปลี่ยนไปหมดเลย แน่นอนการออกกำลังกายทำให้เรามีรูปร่างที่ดีมากขึ้น สุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น และจะกระทบต่อเนื่องกับการที่เราเลือกกิน เลือกใช้ชีวิต หรือพักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงการคบเพื่อนที่ชอบออกกกำลังเหมือนกัน แล้วเราก็จะมีไอเดียดีๆ แบ่งปันกัน มันจึงเหมือนเปิดโลกอีกใบหนึ่ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เราก็จะเป็นคนที่ไปปาร์ตี้กับเพื่อน ไปเที่ยว นอนดึก ตื่นสาย เริ่มมีความรู้สึกว่าเรามั่นใจในตัวเองที่เราไม่ต้องผอม ไม่ต้องอดข้าว อดอาหาร ไม่ต้องขาว ไม่ต้องน่องเล็กเราเริ่มพอใจกับตัวของเราเอง พอใจกับรูปร่างของเราเอง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็น Fixer ที่คนทั่วไปชอบ เช่น เราอาจจะมีรูปร่างที่เหมือนนักกีฬามากขึ้น ไหล่กว้างมากขึ้น หรือมีกล้ามท้อง ซึ่งอาจบางคนอาจจะไม่ได้ชอบกล้ามท้อง อาจจะชอบผอมๆ เป็นผู้หญิงก็ได้

ตัวเราเองคือสิ่งแรกที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกได้ว่า "ฉันอยากออกกำลังกาย"

เทคนิคอะไรที่ทำให้ "ลุกขึ้น" ออกกำลังกายได้เป็นประจำ ?

อย่างแรกเลยก็คือ ใครก็ตามที่จะเริ่มออกกำลังกายต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองก่อน ถ้าอยากออกกำลังกาย แต่ยังลังเลอยู่ตัวเราเองคือสิ่งแรกที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกได้ว่า "ฉันอยากออกกำลังกาย" อย่างเราเป็นเทรนเนอร์ แต่ถ้าเขาไม่อยากออก เราก็ไม่สามารถบังคับได้ ดังนั้น อย่างแรกเลยคือตัวของเราเอง ต้องเปลี่ยน Mindset ของเราว่า ฉันอยากออกกำลังกาย ถ้ามีความตั้งใจแบบนี้แล้ว ก็คือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้เราสามารถไปต่อได้
ต่อจากนั้นก็คือ เริ่มหาการออกกำลังกายที่ทำแล้วสนุก การออกกำลังกายมันมีเยอะมากกก… มันไม่จำเป็นว่าวันหนึ่งลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ฉันจะต้องสควอทหรือดึงข้อได้หมดภายในวันแรก มันเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องฝึกฝน เหมือนเวลาเราเรียนหนังสือจะเอาใบปริญญา เราก็เลือกเรียนตั้งแต่อนุบาล มาประถม มัธยม ค่อยไปมหาวิทยาลัย ทุกอย่างเป็นการเก็บเกี่ยวทีละก้าวหมดเลย กว่าเราจะไปถึงจุดนั้น ออกกำลังกายก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เคยทำอะไรเลย วันนี้มาออกกำลังกายปุ๊บ! พอทำท่ายากไม่ได้ แล้ว Fail ว่าฉันทำไม่ได้ ออกกำลังกายไม่ใช่ทางฉัน มันก็ไม่ใช่ มันก็เลยต้องปูจากเรื่องพื้นฐานก่อน เริ่มจากเรื่องง่ายๆ อย่างเช่น ทุกคนเดินได้ ลองเดินรอบสวน ค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ วันนี้เดินได้ 10 นาทีแล้วเหนื่อย พรุ่งนี้เพิ่มเวลาเป็น 12-15 นาทีไหม? เป็น 20 หรือ 30 นาที ไหม? เราก็จะเริ่มแข็งแรงขึ้น

ต่อสู้กับความขี้เกียจในวันเบื่อๆ ของตัวเองยังไง ?

จริงๆ เบื่อไม่มี เนื่องจากว่าพอเราออกกำลังกายไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่ามันช่วยคลายเครียส เป็นสิ่งที่เราทำแล้วสนุก แต่เหนื่อยมีบ้าง บางทีเหนื่อย ล้า ปวดเมื่อย วันนี้ออกไม่ไหว ไม่เป็นไร…ก็พักได้ ก็ต้องพัก อย่างผู้หญิงมีประจำเดือน เดินยังเดินไม่ไหว ไม่เป็นไรก็นอนพัก จะแบกตัวเองไปยิมทำไม ก็แค่ 3-4 วัน ถือเป็นการ Recover ตัวเอง แล้วเราก็จะกลับมาสดใส หลังจาก 4 วันนั้น

นอกจากวินัยของตัวเองแล้ว มีอะไรเป็นตัวช่วยอีกบ้างหรือเปล่า ?

วินัยในการออกกำลังกาย อย่างหนึ่งมันก็ต้องมีตัวช่วยบ้าง อย่างเราจะเป็นคนที่ติด Apple Watch มาก แม้แต่วันที่ไม่ได้ออกกำลังกายก็ตาม แต่เราแค่มีความรู้สึกว่า การออกกำลังกายในชีวิตของเราไม่ใช่แค่ว่าเราต้องวิ่งลู่หรือเข้ายิม แต่การที่เรามาเดินเล่นในวันพักของเรา เราก็อยากที่จะเผาผลาญแคลอรี่เหมือนกัน เราก็อยากที่จะนับก้าวในวันที่เราไม่ได้ออกกำลังกายจริงจัง คือการที่เราใส่นาฬิกาที่มีนับก้าว ดูแคลอรี่ต่างๆ มันทำให้เรารู้ว่าตัวเองยัง Keep Active Activity อยู่หรือเปล่า

การออกกำลังกาย แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ คาดิโอ (Cardio) เพื่อสุขภาพภายใน ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจ ความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ สำหรับการมีสุขภาพที่ดีไม่เป็นโรค ถามว่ามีอะไรบ้าง เช่น เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน หรืออะไรก็ตามที่ทำเป็นระยะเวลานาน ประมาณ 20-30 นาทีขึ้นไป อันนี้เราจะใช้ประโยชน์จาก Apple Watch เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับคาดิโอคือ Heart Rate หรือ อัตราการเต้นของหัวใจ แคลอรี่ที่เผาผลาญ และระยะเวลา เราจะเป็นคนที่ติดดูตลอดเลยว่าตอนนี้เท่าไรแล้ว ในเรื่องของคาดิโอ
ส่วนอีกอย่างคือ เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) การสร้างกล้ามเนื้อ อยากหุ่นดี อยากมีซิกแพค อยากมีก้น อยากไหล่สวย ให้เวทเทรนนิ่ง อาจจะเป็นบอดี้เวท (Body Weight) ก็ได้ เช่น สควอท วิดพื้น ฯลฯ ส่วนมากอันนี้เราจะติดดูเวลา เพราะสิ่งสำคัญก็คือจำนวนครั้งที่เล่นและเวลาพักที่เพียงพอ เล่นเสร็จปุ๊บ! จะพักนานเกินไปก็ไม่ได้ ประมาณ 1 นาที หรือ 30 วินาที ก็ต้องเริ่มอีกเซตหนึ่งเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นนาฬิกาจึงเป็นสิ่งที่ติดมากๆ ไม่ว่าจะเป็นยิมหรือชีวิตประจำวันก็ตาม
อีกสิ่งก็คือแรงจูงใจ (Motivation) การมีเพื่อนที่ออกกำลังกายมันจะช่วยบิลด์กัน คือ เราจะเชื่อมต่อ Apple Watch กับเพื่อนแล้วจะแชร์ Activity แจ้งเตือนหลังออกกำลังกายแก่กัน พอเรารู้ว่าเพื่อนของเราตื่นแล้ว ตอนนี้ออกกำลังกายไปได้ 20% ของเป้าหมายเขาแล้ว เราก็ต้องเริ่มบ้าง หรือเพื่อนออกกำลังกายเสร็จแล้ว แต่เรายังปิดวงแหวนของเรา ซึ่งเป็นเป้าหมายและเครื่องกระตุ้นในแต่ละวันของเราไม่ได้ เราก็จะเกิดแรงกระตุ้น

อัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate) สำคัญยังไง ?

สำคัญตรงที่คาดิโอ ไม่ว่าจะวิ่งหรือปั่นจักรยาน อัตราการเต้นของหัวใจจะเชื่อมโดยตรงกับแคลอรี่ที่เราเผาผลาญ เพราะว่าอัตราการเต้นของหัวใจจะบอกความหนักของการออกกำลังกาย ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายระดับ อย่างเช่น ระดับเบา อาทิ โยคะ เดิน อันนี้หัวใจจะไม่ค่อยเต้น แต่จะช่วยเรื่องการผ่อนคลาย แล้วก็ ระดับหนัก อย่าง HIIT (High Intensity Interval Training) เช่น กระโดด การวิ่งต่างๆ ยิ่งหนักก็จะยิ่งเผาผลาญเยอะ แคลอรี่ก็จะยิ่งเบิร์นเยอะ เราก็จะเอาไว้ดู แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราต้องเล่นหนักทุกวัน เราก็ต้องมีวันที่เราเล่นระดับกลาง เบาบ้าง หนักบ้าง

ถ้าเดินคือการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด แล้วต้องเดินแบบไหนถึงเรียกว่า "ออกกำลังกาย" ?

เดินให้เร็วกกว่าช้อปปิ้งนิดหนึ่ง (หัวเราะ) คือเดินไปเรื่อยๆ ให้ต่อเนื่อง ไม่ใช่เดินแล้วหยุดๆ เดินสักประมาณ 15-30 นาที สมมุติเราไม่ได้ขึ้นลู่ คือถ้าเราขึ้นลู่เราจะสามารถดูได้ว่า Speed เท่าไร Speed 4-5 คือกำลังดี ดังนั้น ถ้าเดินธรรมดาก็เดินให้เร็วกกว่าช้อปปิ้งนิดหนึ่ง

สำหรับคนที่มีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย เช่น รู้สึกไม่อยากออก เพราะไม่เห็นน้ำหนักลด ยิ่งออก ยิ่งกินเยอะขึ้น ยิ่งอ้วน

ถามว่าทำกี่เดือน ? (ตอบ : ไม่ถึงเดือน) ก็ใช่ไง… เราใช้ชีวิตในการกินมาตั้งกี่ปี ออกกำลังกายก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทำแล้วเห็นผลแบบทันทีขนาดนั้น

คำถามยอดฮิต! ต้องออกกำลังกายนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล ?

2 เดือนต้องเริ่มเห็นผลแล้ว จริงๆ 1 เดือนต้องเริ่มเห็นว่าตัวเองเหนื่อยยากขึ้น แข็งแรงมากขึ้น หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน เราจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง อาจจะแค่นิดหนึ่ง แต่น้ำหนักไม่ต้องไปชั่งมาก เพราะกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน สมมุติเราออกกำลัง ไขมันหายไป แต่กล้ามเนื้อมากขึ้น แต่น้ำหนักก็เยอะขึ้น เพราะกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมัน (แม้ไขมันจะออกไปเยอะกว่าก็ตาม) คือไม่ต้องดูสเกล ยิ่งชั่งน้ำหนักจะยิ่งรู้สึกท้อใจว่า เพราะทำไมไม่ลงสักที ?

สุดท้าย! ฝากถึงคนที่ไม่พอใจกับรูปร่างตัวเอง หรือท้อแท้กับการออกกำลังกาย (ทำเท่าไร…ก็ไม่เห็นเหมือนคนอื่นสักที)

อย่างแรกคือ เราไม่ได้เกิดมาเป็นฝาแฝดคนอื่น เราไม่สามารถเหมือนกันเป๊ะได้ อย่างเราก็ชอบมากเลย หุ่นของนางแบบ Victoria's Secret แต่ออกให้ตายยังไงก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าขาเรามีอยู่แค่นี้ รูปร่างเราเป็นแบบนี้ แต่ว่าทุกคนเวลาที่เริ่มต้นออกกำลังกาย มักมีรูปเป็น Role Model ว่าชอบหุ่นคนนี้ ชอบอะไรแบบนี้ ชอบก้นแบบนี้ ชอบเอวแบบนี้ เราตั้งได้ เพราะว่าอย่างน้อยเรารู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นก่อนจะเป็นแบบนี้ เขาต้องทุ่มเทเยอะมาก ต้องคุมอาหาร ต้องตื่นมาออกกำลังกาย ต้องคาดิโอ ต้องเวท ต้องปวดเมื่อย อะไรหลายๆ อย่างกว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ มันคือวินัยของเขาเราใช้อันนั้นมาเป็นตัวอย่างให้กับเราได้ว่าเขาก็พยายามเหมือนกัน เขาไม่ได้เกิดมามีกล้ามท้องหรือเป็นแบบนั้น เราเอาอันนั้นมาเป็นตัวอย่าง แล้วเราก็เริ่มออกกำลังกาย แม้ว่าสุดท้าย หุ่นเราอาจจะไม่ได้เหมือนเขา แต่เรามั่นใจว่าทุกคนที่เริ่มออกกำลังกาย สุดท้ายแล้วเราจะเริ่มรักในรูปร่างตัวเอง รู้สึกว่า เฮ้ย! เห็นลายกล้ามท้องแล้ว กล้ามท้องฉันก็สวยเหมือนกัน

…มันไม่เห็นต้องเหมือนคนอื่นเลย แต่มันเป็นสิ่งที่เราสร้างมันด้วยตัวเอง

ติดตามไลฟ์สไตล์ของสาวเบเบ้ได้ทาง  YouTube : Bebe Fit RoutineFacebook : Bebe Fit Routine  | IG : @thisisbebe
ติดตาม OK! Magazine Thailand ได้ที่นี่
Website : www.okmagazine-thai.com
Instagram : @okmagazinethailand
Facebook : OK! Magazine Thailand
Twitter : @okthailand

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0