กรุงเทพฯ 3 มิ.ย.- ชุดสืบสวนสอบสวน คดีวางแผนชิงตัวพันตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ ประชุมร่วมสรุปคดีหลังจากสอบปากคำพยานไปกว่า 20 คน พบบางคนให้การเท็จไม่ตรงกับพยานหลักฐานที่ตำรวจมี และเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา
คณะพนักงานสอบสวน และสืบสวนคดีแผนการชิงตัวพันตำรวจโทบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพิณิชย์ ระหว่างการควบคุมตัวมาให้การที่ศาล ร่วมประชุมสรุปคดีหลังจากที่ได้สอบปากคำพยานในคดีไปกว่า 20 คน และสอบสวนพยาน 3 คนหลักในคดี ที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการครั้งนี้ ประกอบไปด้วย พันตำรวจโทนุกูล แสงศิริ อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเขต 4 จังหวัดนครสวรรค์ / นายกรณ์ กันเที่ยง ทนายความที่ประกันตัวนายสุธน ทองศิริ หรือ โจ อายุ 42 ปี อดีตผู้ต้องขังที่อยู่ที่ในเรือนจำเดียวกันกับพันตำรวจโทบรรยิน และนายวรภัทร์ ตั้งภากรณ์ หรือ บอส ลูกชายพันตำรวจโทบรรยิน โดยทั้ง 3 คนให้การว่าไม่เกี่ยวข้องกับแผนดังกล่าว
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยว่า หลังจากสอบปากคำพยานไปแล้ว ยังพบว่าพยานบางส่วนให้การขัดแย้งกับพยานหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่ ซึ่งอาจเข้าข่ายให้การเท็จกับเจ้าพนักงาน และคาดว่าจะต้องมีผู้ถูกแจ้งข้อหาดังกล่าว แต่จะมีจำนวนกี่คนยังไม่ขอเปิดเผย
ส่วนพยานหลักฐานที่ตำรวจมี ยืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างชัดเจน การที่พยานบางคนโดยเฉพาะลูกชายของพันตำรวจโทบรรยิน จะเห็นว่าเป็นแผนการที่ไม่สามารถเป็นไปได้นั้น ก็เห็นว่าเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่ให้การอย่างไรก็ได้ แต่ตำรวจมีหลักฐานที่ค่อนข้างแน่นหนาจึงตั้งคณะทำงานชุดใหญ่มาสอบสวน หากไม่มีมูล ตำรวจกองปราบคงไม่ทำคดี
ส่วนประเด็นที่ลูกชายของพันตำรวจโทบรรยิน อ้างว่าไม่รู้จักกับผู้ต้องขังในเรือนจำเดียวกับพันตำรวจโทบรรยิน ทั้งนายโจ และนายท็อป นั้น พันตำรวจเอกเอนก ก็ระบุว่า ต้องไปตรวจสอบความเชื่อมโยงกันก่อน รวมทั้งข้อมูลการติดต่อสื่อสาร แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม หากการประชุมสรุปภาพรวมคดีในวันนี้แล้วพบว่า มีพยานคนใดที่ให้การเท็จกับเจ้าพนักงานก็จะแจ้งข้อกล่าวหา และหากมีบุคคลใดที่อาจจะต้องสอบปากคำเพิ่มเติมก็จะเชิญเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง .-สำนักข่าวไทย