รอยเตอร์ - พรรคเดโมแครตแถลงตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในวันอังคาร(10ธ.ค.) โดยกล่าวหาว่าเขาใช้อำนาจโดยมิชอบและขัดขวางสภาคองเกรส ส่งผลให้เขาเป็นเพียงประธานาธิบดีคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯที่ต้องเผชิญกับการลงมติถอดถอน
คาดหมายว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯจะลงมติในข้อกล่าวหาดังกล่าวหรือที่เรียกว่า บทบัญญัติแห่งการถอดถอน (Article of Impeachment) ทั้งนี้เกือบจะแน่นอนว่าสภาผู้แทนราษฏรซึ่งเดโมแครตครองเสียงข้างมากจะโหวตถอดถอนประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้ จากนั้นก็จะมุ่งหน้าสู่การพิจารณาไต่สวนในวุฒิสภาที่รีพับลิกัน ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม
เจอร์โรลด์ แนดเลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่าทรัมป์ก่ออันตรายแก่รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ บ่อนทำลายความเที่ยงธรรมของศึกเลือกตั้งปี 2020 และนำพาความมั่นคงแห่งชาติตกอยู่ในความเสี่ยง "ไม่มีใคร แม้กระทั่งประธานาธิบดี ที่อยู่เหนือกฎหมาย" แนดเลอร์กล่าว
พรรคเดโมแครตเดินหน้าอย่างรวดเร็วในกระบวนการถอดถอนทรัมป์ นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการไต่สวนเมื่อวันที่ 24 กันยายน ต่อข้อกล่าวหาต่างๆที่ว่า ทรัมป์ กดดันยูเครนให้ทำการสืบสวน โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีและนักการเมืองจากพรรคเดโมแครต ซึ่งจะเป็นคู่แข่งของเขาในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2020
พวกเดโมแครตกล่าวหาทรัมป์ใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยการระงับเงินช่วยเหลือแก่ยูเครน พันธมิตรของสหรัฐฯที่เผชิญการรุกรานของรัสเซีย และเป็นไปได้ที่มีการประชุมที่ทำเนียบขาว ยื่นข้อเสนอขอคำสัญญาจากยูเครนว่าจะดำเนินการสืบสวน โจ ไบเดน คู่แข่งของทรัมป์เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับเงินช่วยเหลือดังกล่าว
ในส่วนของรีพับลิกันกล่าวหาเดโมแครตว่ากำลังหาทางล้มผลเลือกตั้งปี 2016 ด้วยการ "ล่าแม่มด" ทรัมป์ ขณะที่ตัวประธานาธิบดีเองยืนกรานว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
ทั้งนี้ความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะพ่ายแพ้ในมติถอดถอนมีไม่มากนัก เนื่องจากสมาชิกรีพับลิกันในวุฒิสภาดูมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการคัดค้านกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี อย่างไรก็ตามการถอดถอนอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมและการหาเสียงของทรัมป์ ในขณะที่เดโมแครตหวังยึดทำเนียบขาวคืนจากรีพับลิกันในศึกเลือกตั้งที่กำลังมาถึง
