โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

"เฌอเบลล์" เผยรายได้หดหาย ไม่มีงาน ไม่มีสินค้าจ้างรีวิว ได้แต่รีวิวของกินฟรีประทังไม่ให้อดตาย

Manager Online

เผยแพร่ 10 เม.ย. 2563 เวลา 03.04 น. • MGR Online

"เฌอเบลล์" เผยชีวิตในช่วงที่ขาดรายได้ ต้องใช้หลักพอเพียงสุดๆ เพราะโรงงานก็ต้องปิด ไม่มีงานละคร ไม่มีรายการ ที่เคยมีรายได้จากรีวิวสินค้าก็ไม่มีแล้ว ได้แต่อาศัยรีวิวของกินฟรีเพื่อประทังชีวิต บอกตอนนี้ต้องขอพักจ่ายค่าบ้านไว้ 6 เดือน เหลือกินข้าววันละมื้อ ใช้ชีวิตด้วยความปลง จะติดก็ติด จะตายก็ตาย บอกใครที่กำลังเครียด ให้หันมามองคนที่หนักกว่า มองถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงกว่าเยอะ และต้องหาวิธีเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้อยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้

กับภาวะโรคโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักในตอนนี้ สร้างความเสียหายและกระทบกับคนทั่วโลก แต่หลายคนอาจจะมองว่าคนในวงการบันเทิงอาจจะสบายกว่า ไม่ต้องเครียดอะไรมาก เพราะมีรายได้เยอะ แต่กับนักแสดงสาว "เฌอเบลล์ ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์" ต้องบอกว่าไม่ใช่เลย เพราะเจ้าตัวเผยว่าไม่มีงาน ไม่ได้ออกไปไหนโดยรวมเกือบปีแล้ว แถมตอนนี้โรงงานผลิตหลอดที่ตนลงทุนทำกับหุ้นส่วนก็ต้องปิดลง เพราะสู้ค่าเช่าที่หลักล้านไม่ไหว

"ถ้านับอยู่บ้านจริงๆ ก็น่าจะเกือบเดือนได้แล้วค่ะตั้งแต่กลับจากญี่ปุ่น เพราะมีช่วงต้องกักตัวด้วย แล้วพอครบเสร็จก็มีออกไปงานแค่วันเดียวมั้งคะ แล้วก็ยาวมาจนถึงตอนนี้เลย จริงๆ จะเรียกว่าหยุดยาวมานานมากตั้งแต่เล่นเรื่องหีบหลอนเลยค่ะ ตัวหนูก็พักงานไปประมาณ 6 เดือนด้วย เพราะต้องไปแก้จมูก แล้วดันมาเจอแบบนี้อีก คือมันหยุดจะเป็นปีเลยนะ แต่ก่อนหน้านี้ยังโอเคที่หนูยังมีโรงงานหลอดอยู่ ตอนช่วงที่หยุดงานหนูก็ไปอยู่ที่โรงงานหลอดได้ ยังพอมีรายได้เข้ามาบ้าง"

"แต่ตอนนี้โรงงานต้องปิดไป เพราะโรงงานเราก็เช่าที่เขาทำ แล้วเจ้าของที่เขาก็ไม่ได้ลดอะไรให้เรา เราก็ไม่ไหว เพราะต้องจ่ายค่าเช่าเรื่อยๆ เป็นหลักล้าน หุ้นส่วนทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง ก็เลยลงความเห็นกันว่าเราต้องหยุดโรงงาน ซึ่งผลกระทบโดยตรงก็คือเราขาดรายได้จากส่วนนั้นเลย ของอาจจะยังพอมีที่จะขายอยู่บ้าง แต่ถ้าเกิดของหมดเราก็จะไม่มีอะไรขาย มันก็กระทบหนักเหมือนกัน เพราะหลอดของเราเป็นหลอดรักษ์โลก ส่วนมากลูกค้าก็จะเป็นร้านอาหารและโรงแรม ทีนี้ลูกค้าของเราเขาก็ได้ผลกระทบเหมือนกัน เขาก็หยุดสั่งของเราไป เราก็เข้าใจลูกค้านะคะ"

เผยจากที่เคยได้รับค่ารีวิวเดือนละ 50,000 บาท แต่ตอนนี้ไม่ได้เลย ได้แต่รีวิวของกินฟรีเท่านั้น

"ตอนนี้คนวงการบันเทิงก็กระทบไม่น้อยเหมือนกันนะคะ อย่างของหนูรับรีวิวสินค้า ซึ่งตอนนี้ลูกค้าหลายๆ เจ้าที่เขาจะจ้างเรารีวิวเขาขายของไม่ได้ ก็เลยทำให้เราเองไม่ได้ค่ารีวิวด้วย ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราเองยังโชคดีกว่าใครหลายๆ คน คือเรายังสามารถรีวิวของฟรีได้ อย่างพวกอาหารการกิน เขาก็ส่งมาให้เรารีวิว เราก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นคือเราไม่อดตายแม้เราจะไม่มีเงิน"

"รายได้ก็หายไปเลยค่ะ จากปกติอย่างน้อยเดือนนึงต้องมี 50,000 บาท จากการรีวิวอย่างเดียวนะคะ ก้อนนี้หนูก็ถือเป็นค่าบ้าน ค่าผ่อนอะไรต่างๆ ของหนูได้เลย แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มันหายไปหมดเลย ซึ่งเราก็เข้าใจลูกค้านะคะ เราเองก็ต้องปรับตัวเพื่อที่จะเอาตัวรอด และตอนนี้ละครก็ไม่มี รายการก็ไม่มี เราก็ใช้ชีวิตแบบพอเพียงไปเลย แต่ก็โชคดีอย่างนึงคือบ้านที่ยังต้องผ่อนของหนู เขามีให้พักจ่ายได้ ซึ่งเราก็ขอใช้สิทธิพักจ่ายไปเลย 6 เดือน เพราะเราไม่มีรายได้เข้ามาเลย รายได้มันหายไปแบบเห็นชัดมากค่ะ"

บอกวิธีแก้เครียดคือการเล่นกับหมาแมว และหากิจกรรมอย่างอื่นไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน

"วิธีแก้เครียดของหนูก็คือโชคดีที่เราเลี้ยงน้องหมา น้องแมว เขาก็ช่วยได้ประมาณนึงนะคะ เวลาเครียดก็จะไปเล่นกับเขา แล้วที่บ้านก็มีจักรเย็บผ้า หนูก็มานั่งเย็บเสื้อผ้าให้หมาแมวบ้าง ก็พยายามโฟกัสในเรื่องอื่นไป พยายามหาอะไรทำ อะไรที่ไม่ได้ทำตอนเราทำงาน ตอนที่ไม่มีเวลา ที่เรามักจะบ่นเสมอว่าไม่มีเวลา เราก็ใช้เวลาช่วงนี้แหละ เพราะเดี๋ยวนี้ในกูเกิลก็มีสอนอะไรต่างๆ เยอะแยะ ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย ปล่อยตัว ไม่ได้ดูแลสุขภาพ ช่วงนี้ก็เลยกลับมาดูแลตัวเองเต็มที่เลยค่ะ"

"แล้วก็จำกัดการกินด้วยค่ะ เราไม่ต้องกินเยอะเกินไปเหมือนช่วงที่ทุกอย่างยังปกติ ก็ถือจังหวะนี้คุมอาหารไปเลย แล้วก็ออกกำลังกายไปด้วย ก็พยายามมองโลกในแง่ดีไว้ คือถ้ายิ่งเรากินเยอะ มันก็ยิ่งต้องใช้เงินเยอะด้วย เราก็เลยมองในแง่ดีว่างั้นเราไม่กินแล้วกัน พยายามกินวันละมื้อ เวลาเขาส่งอาหารมาให้รีวิว เราก็ได้ช่วยแม่ค้าขายของ อย่างรีวิวบางทีเขาก็ส่งมาไว้เลย 3 มื้อ แต่หนูได้อ่านหนังสือเล่มนึงเขาบอกว่าจริงๆ แล้วมนุษย์เรากินข้าวแค่วันละมื้อก็ได้ ขอแค่มื้อนั้นมีอาหารที่ครบหมู่ พอลองทำตามก็รู้สึกว่ามันก็จริงนะ กินวันละมื้อเราก็ไม่ตายนี่ ถึงหิวแต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดทนความหิวได้มันก็ไม่ได้แย่"

เผยได้ทำมาสก์ผ้าให้แฟนเอง แต่ไม่คิดจะทำขาย เพราะไม่อยากไปแย่งอาชีพของคนที่อาจจะลำบากกว่าตน

"ก็มีสั่งผ้ามาทำมาสก์เองค่ะ คือด้วยความที่หนูหน้าเล็ก เวลาไปซื้อไซส์ปกติมันก็ยังใหญ่ไป จะใส่ของเด็กก็ไม่ได้ แล้วตัวแฟนหนูเองเขาก็หน้าใหญ่ไป (หัวเราะ) เราก็สงสารเขา คืออย่างเรามันยังมีมาสก์เขียวทั่วไปที่ใส่ได้ แต่คนหน้าใหญ่เขาใส่ไม่ได้จริงๆ ก็เลยคิดว่างั้นเราตัดให้เขาแล้วกัน แล้วผ้าที่เราสั่งมามันก็มีเยอะ เลยตัดแจกญาติๆ ไปบ้าง แจกเพื่อนๆ บ้าง อันนี้สำหรับคนที่หน้าใหญ่โดยเฉพาะเลย"

"ถามว่าอยากจะทำเป็นอาชีพเสริมเลยไหม ตอนแรกก็คิดจะทำขายนะคะ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่ได้อยากจะทำขายขนาดนั้น เราก็ทำแค่ให้คนที่เขาต้องการจริงๆ ดีกว่า เพราะยังมีคนอื่นที่เขาต้องการและใช้ชีวิตลำบากกว่าเราอีกเยอะ เราก็ไม่ได้อยากจะไปแย่งขายเพื่อให้เขาลำบากไปอีก เว้นแต่ว่าถ้าใครที่หน้าใหญ่และอยากจะได้แบบนี้จริงๆ ก็ออเดอร์มาได้ค่ะ"

"ส่วนอาหารก็พอทำได้ค่ะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ แต่ช่วงนี้พอมีเวลาเราก็เลยหาเมนูที่สามารถเก็บไว้ทานได้หลายๆ มื้อ เพราะหนูเป็นพวกอีโค่อยู่แล้วด้วย หนูก็เลยอยากให้คนได้เห็นว่าจริงๆ ทำแล้วมันก็ยังเก็บไว้กินได้อีก แทนที่เราจะกินเหลือแล้วทิ้ง ก็เสียดายของ ยิ่งด้วยภาวะแบบนี้อะไรที่จะช่วยประหยัดได้ก็อยากจะประหยัดที่สุดค่ะ"

บอกขอติงรัฐบาลเรื่องแจกเงิน 5,000 บาท บอกอยากจะให้เช็กคนที่ควรจะได้รับจริงๆ ให้ดีกว่านี้

"เรื่องของเงิน 5,000 บาทที่รัฐบาลให้ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นกระแส คือหนูไม่ขอวิจารณ์คนที่เขาวิจารณ์เรื่องนี้แล้วกัน เพราะทุกคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ละคนก็มีมุมลำบากของตัวเอง มันก็พูดยาก แต่ถ้าจะให้วิจารณ์ก็ขอวิจารณ์ระบบของรัฐบาลไทยเลยดีกว่า ว่าเขาทำงานที่มันไม่โอเคจริงๆ คนที่ไปยื่นเรื่องก็ไม่ใช่ว่าจะได้ทั้งๆ ที่เขาลำบากจริงๆ แต่กลายเป็นว่าคนที่ได้มาเป็นคนที่ไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น"

"เราเลยรู้สึกว่าทีมงานที่เขาเลือกคนที่จะได้เลือกแบบแปลกๆ หรือบางทีเลือกไปให้คนที่ลำบาก แต่เขาคิดไม่ได้ อย่างเช่นได้เงินมา 5,000 แทนที่จะคิดได้ แต่กลับเอาเงินไปซื้อเหล้ามานั่งกินอย่างนี้ คือเราควรจะดูจริงๆ ว่าใครที่เขาต้องการจริงๆ อยากให้คุณเลือกดีๆ หน่อยได้ไหม เพราะยังมีคนที่เขาลำบาก ไม่ใช่พวกที่ได้เงินมาแล้วโพสต์อวดไปเรื่อย"

บอกทุกคนต้องปรับตัวกับภาวะนี้ให้ได้ เพราะไม่รู้ว่าโรคโควิด-19 นี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน

"กับภาวะโควิด-19 ตอนนี้ เราก็ไม่รู้จะไปต่อสู้ยังไง เพราะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น มันมีทั้งข่าวที่ว่ามีคนหายแล้วก็กลับมาเป็นอีกได้ ซึ่งเราไม่สามารถตอบได้เลยว่ามันจะเกิดอะไร มันจะเป็นได้นานขนาดไหน มันจะจบเมื่อไหร่ ไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบได้ ก็เลยมองว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่นี่แหละที่จะต้องปรับตัวให้ได้ โดยการที่ว่าอะไรที่มันไม่จำเป็น อะไรที่มันพอเพียงได้ อย่างที่รัชกาลที่ ๙ เคยตรัสไว้ เราก็คงต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น หรือกลับไปใช้ชีวิตแบบคนสมัยก่อนที่แค่น้ำพริกอย่างเดียวเขากินไป 3 มื้อ"

"มันมาถึงจุดที่ว่าต้องยอมรับความลำบากและปรับตัวให้อยู่ให้ได้ เพราะถ้าวันนี้เราปรับไม่ได้เราก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า และด้วยความที่รัฐบาลเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราเองก็ต้องดูแลตัวเองแล้วล่ะ เราต้องเอาตัวเองรอดกันเองแล้ว เราต้องหันกลับมาช่วยดูแลกันเองจริงๆ ถามว่านอยด์ไหม ไม่ค่ะ คือหนูเป็นคนที่ค่อนข้างอยู่กับธรรมะเยอะ ก็เลยจะปลงๆ นิดนึง คิดว่าถ้ามันจะติดก็ติด หรือถ้าจะตายก็คงต้องตาย ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมาก ถ้าต้องออกไปข้างนอกก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี คือป้องกันตัวเอง ใส่มาสก์ ใช้แอลกอฮอล์ล้างมือ เพราะยังไงชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อ แต่ก็ป้องกันตัวเองค่ะ"

บอกขอให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่เสี่ยงที่สุด และคนธรรมดาก็ให้มองคนที่เขามีปัญหาหนักกว่าเรา และพยายามคิดบวกให้มาก

"ก็อยากให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเลยนะคะ หนูเชื่อว่าเวลานี้ทั้งพยาบาลและหมอเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุด เหนื่อยที่สุดและเสี่ยงที่สุด เพราะเขาอยู่ในจุดที่มันมีไวรัสอยู่ เขาเองก็คงหลับไม่ได้เพราะมีคนป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน เราก็เลยอยากเป็นกำลังใจให้เขา อยากให้เขามีเวลางีบได้ก็งีบ ขอให้เขาได้กินอาหารที่ดี ขอให้เขาได้บุญเยอะๆ จากการที่ช่วยคนป่วย ณ จุดนี้คิดว่าบุญน่าจะช่วยได้เยอะค่ะ และให้ทุกคนช่วยภาวนา ช่วยขอพรให้คุณหมอ ให้พยาบาลทุกๆ คนมีความสุข เพราะคิดว่าเขาคงหาความสุขได้ยากกับสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ เขาเครียดหนักกว่าเรามาก"

"ก็ฝากถึงประชาชนที่อยู่บ้านที่กำลังเครียดกันอยู่ อยากให้คิดบวกกันเยอะๆ และพยายามหาวิถีชีวิตในแบบตอนนี้ให้มันโอเค อย่างเช่นถ้ามีสวนที่บ้านหรือมีระเบียงก็ลองปลูกผักที่พอจะกินได้ดูไหม ลองใช้ชีวิตแบบพอเพียงดูไหม ลองย้อนกลับไปใช้ชีวิตเหมือนในสมัยคุณปู่คุณย่าเราเมื่อก่อน และถ้าเรารู้สึกท้อหรือมันเครียด มันยากลำบาก ก็อยากให้มองบุคลากรทางการแพทย์เป็นตัวอย่าง เพราะเขาเครียดกว่าเราเยอะ ตอนนี้เราอาจจะเครียดว่าเรามีค่าใช้จ่าย แต่เราไม่ได้ไปเสี่ยงที่มันสามารถติดโรคเหมือนอย่างบุคลากรทางการแพทย์ และเราก็ยังโชคดีที่ได้อยู่กับครอบครัว ยังได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ณ ตอนนี้"

"ซึ่งถ้าจะมองในแง่ลบ ลองมองที่คุณหมอว่าเขาเสี่ยงกว่าเราเยอะ เขาจะติดโรคไหม เขาจะรอดไหม เขาจะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวไหม และคนที่คิดว่าตัวเองลำบากมาก ลองนึกถึงคนที่เขาหาเช้ากินค่ำ บางทีเขายังต้องเช่าบ้านอยู่ เขาไม่ได้อยู่บ้านแอร์เย็นๆ ก็อยากให้มองคนที่เขาหนักกว่าเราดีกว่าค่ะ"

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0