นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง หลังจากที่เกิดปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ซึ่งตามปกติแล้วหากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง แต่รอบนี้เกิดหลังเฟดประชุมเสร็จในวันที่ 12 มิ.ย. ทำให้ดอกลลาร์แข็งค่า ดังนั้นต้องติดตามดูว่าเฟดสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ตามที่ส่งสัญญาณไว้หรือไม่ แต่ถ้าหากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯพลิกล็อคไม่เป็นไปตามคาด และเฟดไม่สามารถขึ้นดอกไม้ได้ตามที่ประกาศไว้ได้อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าและค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้งจากเงินทุนไหลกลับเข้าไทย
ทั้งนี้เห็นว่านักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สัปดาห์ต่อสัปดาห์ และเชื่อว่าแนวโน้มต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการกู้ยืมต่างประเทศ บริษัทเอกชนที่ระดมเงินทุนด้วยการออกหุ้นกู้ได้ก็มีการล็อคต้นทุนยาวล่วงหน้าไว้แล้ว ส่วนการแข่งขันเรื่องเงินฝากขึ้นกับสินเชื่อหากสินเชื่อเติบโตดีก็จะเห็นการระดมเงินฝากกลับมา นอกจากนี้เห็นว่าการเบิกจ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจีดีพีจะโตไม่ต่ำกว่า 4%
รายงานข่าวจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทยแจ้งว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าระว่างวันที่ 18-22 มิ.ย. คาดว่า เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยต้องติดตามปัญหาสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 25% กับจีน ขณะเดียวกันจีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีกับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ และเรียกเก็บภาษี 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
ทั้งนี้จีนจะบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าประกาศรายชื่อสินค้าออกมาจะกระตุ้นความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศมากขึ้นละมีความเป็นไปได้สูงที่ปัจจัยนี้จะกดดันดอลลาร์สหรัฐฯให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินส่วนใหญ่