โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เคลียร์ข้อสงสัยคนรักรถ ประกันประเภท 1, 2+, 3+ คืออะไร เลือกซื้อแบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา

HealthyLiving

อัพเดต 16 พ.ค. 2562 เวลา 11.16 น. • เผยแพร่ 14 พ.ค. 2562 เวลา 00.00 น. • Healthy Living
HL_ประกัน1-600x600.jpg

พูดถึงประกันรถ คนมีรถทุกคนก็คงรู้จักหลัก ๆ คือประกันชั้น 1 กับประกันชั้น 3 ที่ส่วนใหญ่ก็มักก็เข้าใจกันคร่าวๆ ว่าชั้น 1 คือแบบแพงจ่ายแล้วจบครอบคลุมครบถ้วนมากที่สุด ขับแค่ไหนก็ปลอดภัยไร้กังวล ส่วนประกันชั้น 3 คือประกันสำหรับคนงบน้อย ขับน้อย รู้แค่ว่าจ่ายเบี้ยน้อย แต่ลึก ๆ แล้ว ประกันชั้น 1 ครอบคลุมทั่วจักรวาลจริงหรือไม่ 

แล้วประกันชั้น 3 จ่ายน้อยก็จริงแต่ครอบคลุมอะไรบ้างนั้น หลายคนที่ขับรถมานานหลายปีมีกรมธรรม์อยู่ในมือ หรือกำลังจะต่อประกันรถก็อาจยังไม่แน่ใจนัก
วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ ชี้ชัด ๆ ถึงประกันแต่ละแบบว่ามีอะไรบ้าง แต่ละแบบให้ความคุ้มครองกันระดับไหน ทำไมชั้น 1 กับชั้น 3 ถึงมักเป็นที่นิยม แล้วชั้น 2 หายไปไหน 2+ 3+ คืออะไร ทำไมต้องมีบวกมาเพิ่มความงงกันไปอีกพร้อมแล้ว ลุย!ทำความเข้าใจ ประกันภัยรถยนต์มีทั้งหมด 5 ประเภท
ประกันรถ หรือชื่อเต็ม ๆ ว่ากรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ปัจจุบันในท้องตลาดมีด้วยกันทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ 1,2,3 และ 2+ 3+ ไม่มี 1+ นะอย่าเข้าใจผิด โดยประกันแต่ละชั้นจะต่างกันไปในเงื่อนไขของความคุ้มครองหลัก ๆ 3 ส่วนคือ  1) ผู้เอาประกันภัย (ไม่ว่าจะเป็นคนขับหรือคนที่อยู่ในรถ) 2) รถของผู้เอาประกันภัย และ 3) คู่กรณี
ซึ่งสามส่วนนี้ก็จะมีรายละเอียดความคุ้มครองปลีกย่อยต่างกันไปในประกันแต่ละชั้นดังนี้
ประกันรถยนต์ ชั้น 1 คุ้มครองครบรอบด้าน ทั้งตัวคุณ ตัวรถ และคู่กรณี ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองที่เรียกได้ว่าครบและสูงที่สุด ซึ่งครอบคลุมทั้ง 1)ตัวผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองในส่วนอุบัติเหตุ หรือค่ารักษาพยาบาล หรือการประกันตัวผู้ขับขี่หากเกิดเป็นคดีความขึ้นมา 2)ตัวรถ ประกันชั้น 1 นี้ให้คุ้มครองความเสียหายต่อการชนทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี ( เช่น ถอยชนรั้วบ้าน มีคนมาชนแล้วหนี ขับรถชนเสาไฟฟ้า เป็นต้น) นอกจากนั้นยังให้ความคุ้มครองไปถึง ไฟไหม้ รถหาย และภัยธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม ฟ้าผ่า แผ่นดินไหว อีกด้วย3)คู่กรณี อันได้แก่คนหรือเจ้าของทรัพย์สินที่เราไปมีกรณี (การเฉี่ยวชน) ด้วยนั่นแหละ ซึ่งประกันชั้นหนึ่งนี้จะรับผิดต่อคู่กรณีทั้งในตัวบุคคลและทรัพย์สินทั้งหมดด้วยประกันชั้น 1 เหมาะกับใคร? แน่นอนว่าประกันชั้น 1 นี้ครอบคลุมทั้งหมด จึงให้ความคุ้มครองที่สูง และแน่นอนว่าก็จะมีราคาที่สูงตามไปด้วย ประกันชั้นนี้จึงเหมาะกับมือใหม่หัดขับ หรือ มือเก่าแล้วแต่พึ่งถอยรถใหม่มาหมาด ๆ นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ใช้รถใช้ถนนบ่อย ๆ หรือขับรถทางไกลเพราะยิ่งคุณใช้เวลาอยู่ในท้องถนนนานขึ้นเท่าไร โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็ยิ่งมีมากขึ้นไปด้วยนั่นเอง 
ประกันรถยนต์ ชั้น 2 เหมือนชั้น 1 ทุกอย่างแต่ไม่คุ้มครองรถเรา ใช่แล้วอ่านไม่ผิด ! ประกันชั้น 2 เป็นประกันที่ราคาและความคุ้มครองหลายๆอย่างใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรถหายไฟไหม้อะไรต่าง ๆ แต่ดันไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกันภัยจากเหตุการชนซะงั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขับรถไปชนคนอื่น แล้วเราเป็นฝ่ายผิด ประกันจะจ่ายให้คู่กรณีเราเท่านั้น ส่วนเราเอาไปซ่อมเองจ่ายเอง ดังนั้นประกันชั้นนี้จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร
ประกันรถยนต์ 2+  เหมือนชั้น 1 ทุกอย่างแต่คุ้มครองรถเราเมื่อมีคู่กรณีเท่านั้น และนี่คือเหตุผลที่ประกันชั้น 2+ ถือกำเนิดขึ้นมา เพราะมันมาช่วยอุดจุดโหว่ของประกันชั้น 2 ที่คิดยังไงก็ไม่เห็นว่าจะมีใครที่ควรซื้อ ยกเว้นคนที่ซื้อรถมาจอดไว้เฉยๆ เช่น ซื้อรถมาเป็นของสะสมหลาย ๆ คัน ไม่ได้ขับเท่าไร โอกาสเฉี่ยวชนน้อย แต่โอกาสหายมีสูง เป็นต้น แต่คนกลุ่มนี้ก็ช่างมีน้อยเหลือเกิน 
ประกันชั้น 2+ จึงออกมาตอบโจทย์ในเรื่องของความคุ้มครองที่เพิ่มมากขึ้น โดยประกันรถยนต์ 2 + จะมีความคุ้มครองคล้ายกับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เกือบทั้งหมด โดยให้ความคุ้มครองกับรถของเราด้วย (มันก็ต้องอย่างนั้นสิ)  
แต่จะเคลมประกันได้ก็ต่อเมื่อรถเกิดเหตุชนแบบรถชนรถ หรือชนแบบมีคู่กรณีเท่านั้น  ถอยชนรั้ว ขับขูดเสา มีคนชนเราแล้วหนีแล้วเราไม่มีหลักฐาน แบบนี้ต้องซ่อมเอง เคลมไม่ได้
ประกันชั้น 2+ เหมาะกับใคร?
เอาจริง ๆ ประกันชั้น 2+ นี้ หลายสำนักลงความเห็นว่าคุ้มค่าที่สุดสำหรับคนขับน้อย ขับไม่บ่อย มีฝีมือในการขับขี่ ขับดีไม่มีเคลม และเชี่ยวชาญการขับรถอยู่แล้ว เนื่องจากให้ความคุ้มครองใกล้เคียงประกันชั้น 1 มากแต่ราคาถูกกว่า 
แต่จะต้องมีความระมัดระวังเอาเองสำหรับอุบัติเหตุเล็กน้อยอย่างถอยชน หรือเฉี่ยวชนไม่มีคู่กรณี นอกจากนั้นยังเหมาะกับคนที่มีความกังวลเรื่องรถหาย เช่น อยู่ในพื้นที่เสี่ยง หรือมีรถรุ่นยอดนิยมที่มักจะไปโผล่ตามชายแดนบ่อย ๆ ทำประกันชั้นนี้ไว้อุ่นใจ เกิดรถหายไปก็ยังมีเงินไปโปะค่างวด หรือเผลอ ๆ อาจดาวน์คันใหม่มามาปลอบใจก็ได้ ประกันรถยนต์ชั้น 3 คุ้มครองแต่คู่กรณีและคนในรถเราเท่านั้น
ประกันชั้น 3 ถือเป็นประกันที่ราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับทุก ๆ ชั้น โดยเป็นประกันที่เรียกได้ว่าวัดใจ เนื่องจากตัดทุกอย่างออกไปหมด เหลือไว้แต่สิ่งที่จำเป็นจริง ๆ ที่เราอาจจะจ่ายไม่ไหวหากเกิดอะไรขึ้น ได้แก่ ความคุ้มครองต่อคู่กรณี ทั้งบุคคลและทรัพย์สิน และความคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัยและคนในรถของผู้เอาประกันภัย อันรวมไปถึงค่ารักษาพยาบาลและประกันตัวต่าง ๆ เท่านั้น ที่เหลืออย่างรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือ ความคุ้มครองต่อตัวรถของเราหากเกิดเฉี่ยวชนขึ้น ประกันชั้นนี้ไม่ครอบคลุม
ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายถูกและคู่กรณีมีประกันก็โชคดีไป เพราะประกันคู่กรณีก็จะซ่อมให้เรา แต่หากดันไปชนกับรถไม่มีประกันเข้าละก็ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือถูกก็ตาม จุดนี้ต้องดูแลตัวเองกันไป เพราะประกันไม่จ่ายนะครับ
ประกันชั้น 3 เหมาะกับใคร?
เหมาะกับคนที่ขับรถมานาน มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และระมัดระวังในการขับขี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยแน่นอนว่าราคาของประกันชั้นนี้ก็จะถูกมากๆ เพื่อให้เราเซฟเงินไปทำอย่างอื่นได้ บางครั้งอาจจะถูกกว่าชั้นหนึ่งเกินครึ่งเลยทีเดียว
ประกันรถยนต์ชั้น 3+  เหมือน 3 ทุกอย่างแต่เพิ่มคุ้มครองรถเราหากมีคู่กรณี
แน่นอนว่า มี 2+ มาอุดรูรั่วของ 2 ก็ต้องมี 3+ มาเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าของ 3  โดยประกันรถยนต์แบบ 3+ นี้จะเพิ่มคุ้มครองรถเราหากเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยว ชน โดยเน้นว่าต้องมีคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งก็เบาใจไปได้หากไปชนกับรถที่ไม่มีประกันเราและดันไม่ผิด อย่างเคสที่ยกตัวอย่างข้างบน 
แต่หากขับชนต้นไม้ เบียดฟุตบาท ชนรั้วชนเสา รถหายไฟไหม้ภัยธรรมชาติ ประกันชั้นนี้ไม่รับเคลม ง่าย ๆ คือเหมือน 3 ทุกอย่างแต่เพิ่มความคุ้มครองรถเราถ้าชนกับรถด้วยกัน แค่นั้นเอง
ประกันชั้น 3+ เหมาะกับใคร?
คนขับรถดีประสบการณ์มีพอสมควร แต่อาจจะยังไม่ถึงกับเซียนหรือมั่นใจเท่าคนซื้อประกันชั้น 3 นอกจากนั้น ทั้งชั้น 3 และ 3+ ยังต้องมั่นใจว่าโอกาสที่รถจะสูญหายหรือเกิดภัยธรรมชาติมีน้อยมาก ๆ ด้วยเช่นกัน
อ่านมาถึงตรงนี้คิดว่าผู้อ่านหลายคนน่าจะเข้าใจความแตกต่างของประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทไปพอสมควร หากใครยังมีคำถามหรือสงสัยเพิ่มเติมตรงไหนก็สามารถทิ้งคอมเม้นต์ไว้ใต้บทความ เราจะส่งผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถามคุณให้เร็วที่สุด 

แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าคุณจะซื้อประกันที่แพงแสนแพงหรือครอบคลุมดีเลิศขนาดไหน คนที่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงได้มากที่สุด ก็คือตัวคุณที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยนั่นเอง ดังนั้นขับรถทุกครั้ง ขอให้มีสติและตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ

  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0