เครื่องฟอกอากาศระเบิดศึกชิงยอดขายตั้งแต่ไก่โห่ หลังฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กลับแผลงฤทธิ์รอบใหม่ กระทบชีวิตคนกรุงเทพฯ-ปริมณฑลหนัก กระตุ้นดีมานด์ทั้ง B2B-B2C ด้านแบรนด์ระดมสินค้า-โปรโมชั่น เร่งโกยยอด “แอลจี” สต๊อกสินค้าเพิ่มเท่าตัว ด้าน “ฟิลิปส์” เดินหน้าสร้างรับรู้คู่โปรโมชั่น “โคเวย์” ขายตรงเกาหลีสบช่องโดดร่วมวง ชูบริการหลังการขาย ฝั่งร้านค้าอัดโปรฯแรงลดราคากระหน่ำ 20-60% ผ่อน 0% เกลื่อน แถมลากยาวถึงมีนาคม
กลับมาเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศอีกครั้งหนึ่ง สำหรับมลพิษทางอากาศที่ล่าสุด ค่าพีเอ็ม 2.5 ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ต่าง ๆ พุ่งขึ้นไปทะลุเกณฑ์มาตรฐาน แต่อีกด้านหนึ่งก็กลายเป็นโอกาสทางการตลาดของเครื่องฟอกอากาศ จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จากสินค้าที่เคยจะถูกมองว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น แต่มลพิษทางอากาศที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้สินค้าตัวนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านทุกครัวเรือนควรมี และเป็นสินค้าดาวรุ่งที่น่าจะสร้างการเติบโตได้อีกนาน
แห่เพิ่มสต๊อกรับดีมานด์
นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย“ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้จากปัญหาค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่เกิดขึ้นตลอดช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัว และทำให้ดีมานด์เครื่องฟอกอากาศมีมากขึ้น ตอนนี้ผู้บริโภคหรือลูกค้าทั่ว ๆ ไป เริ่มใช้เวลาในการศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศมากขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งาน, งบประมาณ, พื้นที่ และอื่น ๆ
ยกตัวอย่าง ครอบครัวคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก นอกจากมีความต้องการสินค้าสำหรับติดตั้งในห้องหรือในบ้านแล้ว ยังจะต้องการเครื่องฟอกขนาดเล็กสามารถพกพาได้เพื่อใช้ในรถยนต์และรถเข็นเด็ก เป็นต้น เช่นเดียวกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร ภาคธุรกิจ รวมถึงสถานศึกษา สถานพยาบาล เนิร์สเซอรี่ หรือโรงแรม โดยเฉพาะกลุ่มที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนเมือง ซึ่งเป็นโซนที่มีฝุ่นละอองสูง ต่างก็ให้ความสำคัญกับเครื่องฟอกอากาศเช่นกัน
“จากสถานการณ์ฝุ่น พีเอ็ม 2.5 ที่เกิดขึ้น และทวีความรุนแรงมากขึ้่น เชื่อว่าจากนี้ไปจะมีเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุก ๆ ปี จะทำให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัวมากขึ้น จะทำให้เครื่องฟอกอากาศยกระดับเป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับครัวเรือนที่จะต้องมี จากเดิมที่ผ่านมาหลายคนอาจจะมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยและมีราคาแพง”
นายอำนาจกล่าวด้วยว่า จากสถานการณ์ฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นล่าสุด เพื่อรองรับดีมานด์ของตลาดที่มีมากขึ้น บริษัทได้สต๊อกเครื่องฟอกอากาศทุกรุ่นเพิ่มอีก 100% หรือ 1 เท่าตัว หลังจากเมื่อปลายปี 2562 ได้ขยายไลน์อัพเครื่องฟอกให้หลากหลายครอบคลุมทั้งลูกค้าครัวเรือนและองค์กร อาทิ รุ่นดับเบิลและรุ่นซิงเกิล รวมถึงแอร์ซีรีส์ดูอัล คูล รุ่น IL และแอร์เชิงพาณิชย์ รุ่นซิงเกิล คอมเมอร์เชียล โฟร์ เวย์ คาสเซต ที่มาพร้อมระบบฟอกอากาศ
“ตอนนี้ตัวเลขยอดขายเครื่องฟอกอากาศดีขึ้นมาก และเชื่อว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง และในช่วงหน้าร้อนที่เป็นฤดูขายสำคัญของแอร์เชื่อว่า แอร์ที่มีระบบฟอกอากาศก็จะได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน”
แบรนด์ใหม่ดาหน้าบอก
นางสาวสิริวรรณ นิจกิจจาทร ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจ Personal Health บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่กล่าวในเรื่องนี้ว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเครื่องฟอกอากาศมากขึ้น ตั้งแต่สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ช่วงปลายปี 2561 และทำให้ยอดขายเครื่องฟอกอากาศมีการเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาสจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแนวทางการทำตลาดของฟิลิปส์จากนี้ไปจะโฟกัสการให้ความรู้ วิธีการเลือกซื้อ พร้อมชูจุดเด่นด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น แผ่นกรองที่สามารถกำจัดอนุภาคขนาดเล็ก 0.003 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่า PM 2.5 ถึง 800 เท่า ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อแอปเพื่อเช็กคุณภาพอากาศ เป็นต้น จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทประสานช่องทางจัดจำหน่ายสำรองสินค้ามากกว่าปกติ พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกันเป็นระยะ ๆ
แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดเผยว่า นอกจากแบรนด์ใหญ่ ๆ อาทิ ชาร์ป ฮิตาชิ อีเลคโทรลักซ์ ฟิลิปส์ ฯลฯ ที่ทำตลาดอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเริ่มมีเครื่องฟอกแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ อาทิ แบรนด์ Mister Robot ของบริษัท เอ็ม.เอ็ม. โกลบอลเทรด จำกัด นำเข้าสินค้าเทคโนโลยี เช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่น เครื่องฟอกอากาศ, แบรนด์ IQAir จากสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าและทำตลาดโดยบริษัท ทีเอช โรโบติก จำกัด เจ้าของธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายหุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบรนด์ iRobot รวมไปถึงซัมซุง ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลี ที่นำเครื่องฟอกอากาศเข้ามาทำตลาดในไทยเป็นครั้งแรกเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
รวมถึง “โคเวย์” (Coway) แบรนด์ขายตรงจากเกาหลี โดยนายปาร์ค ชุนยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ยืนยันว่า พร้อมบุกตลาดเครื่องฟอกอากาศเต็มที่ ด้วยการเปิดตัวเครื่องฟอก 2 รุ่น ขนาด 33.9 ตร.ม. และ 97 ตร.ม. เน้นวางขายในโมเดิร์นเทรด และอาศัยบริการหลังการขายเป็นใบเบิกทาง โดยมีจุดเด่นที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินก้อน แต่จ่ายเป็นรายเดือน ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งบริษัทจะดูแลสินค้าทั้งทำความสะอาด-เปลี่ยนชิ้นส่วนให้ถึงบ้านตลอดระยะเวลาสัญญา ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น
ลดราคา-ผ่อน 0% เกลื่อน
จากการสำรวจตลาดของผู้สื่อข่าวพบว่า ร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายรายต่างกระหน่ำโปรโมชั่นลดราคาเครื่องฟอกอากาศกันอย่างคึกคักตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา และลากยาวไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม อาทิ เพาเวอร์บาย ที่จัดโปรโมชั่นยาว 2 เดือน (6 มกราคม-29 กุมภาพันธ์) ทั้งลดราคาสูงสุด 20% และผ่อน 0% นาน 10 เดือนทุกรุ่น แถมแผ่นกรองฟรีในรุ่นที่ร่วมรายการ และสินค้าราคาพิเศษ เช่น เครื่องฟอกอากาศอีเลคโทรลักซ์ รุ่น EAC315 ลดเหลือ 8,388 บาท จากปกติ 17,900 บาท นอกจากนี้ยังนำเครื่องฟอกอากาศหลายแบรนด์ออกมาตั้งโชว์ พร้อมป้ายไฟ-ป้ายข้อมูลความรู้เกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 รวมถึงแยกเชลฟ์เครื่องฟอกอากาศออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ผู้บริโภคสนใจแวะเวียนกันเข้ามาสอบถามข้อมูลต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับเพาเวอร์มอลล์ที่มีการนำเครื่องฟอกอากาศ ทั้งแบบติดตั้งในห้องแบบพกพา เครื่องฟอกรถยนต์ ออกมาจัดดิสเพลย์ และจัดโปรโมชั่นด้วย เช่น ซื้อเครื่องฟอกอากาศที่ร่วมรายการลดเพิ่มอีก 1,000-2,000 บาท เฉพาะบัตรเอ็มการ์ด เป็นต้น เช่นเดียวกับโฮมโปร ที่จัดมหกรรมเครื่องดูดฝุ่น และเครื่องฟอกอากาศ ด้วยการขนสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ มาลดราคาพิเศษ 2,000 บาท และผ่อน 0% นาน 10 เดือน
ขณะที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เทสโก้ โลตัส จัดโปรโมชั่นลดราคาเครื่องฟอกอากาศแบรนด์ดัง อาทิ ฟิลิปส์, ชาร์ป และฮาตาริ เฉพาะสาขาในกรุงเทพฯ ระหว่าง 16 มกราคม-25 มีนาคม หรือเจดี เซ็นทรัล จัดแคมเปญ “ช้อปรับมือกับฝุ่นร้าย ๆ” ให้ส่วนลดสูงสุด 60% นาน 3 เดือน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2563 ส่วนลาซาด้าจัดแคมเปญ “ดีลท้าฝุ่น PM 2.5” ลดราคาเครื่องฟอกสูงสุด 50% ถึงวันที่ 30 มกราคมนี้
จากการสอบถามพนักงานขายของทุกช่องทาง ต่างกล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ช่วงหลังจากที่สถานการณ์ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 กลับมามีปัญหาหนักอีก ทำให้ช่วงนี้มีผู้บริโภคสนใจแวะเวียนเข้ามาสอบถามข้อมูลของเครื่องฟอกอากาศต่อเนื่อง และมียอดขายเพิ่มขึ้นแทบทุกแบรนด์ และมีบางแบรนด์ที่สินค้าไม่พอขาย โดยเฉพาะแบรนด์ที่มีระดับราคาประมาณ 3,000-4,000 บาท เนื่องจากสินค้ามีสต๊อกไม่มากนัก แต่เนื่องจากในตลาดมีสินค้าที่หลากหลาย ลูกค้าจึงมีทางเลือกมากและสวิตช์ไปซื้อแบรนด์อื่นที่มีระดับราคาเดียวกันแทน
