เป็นที่ทราบกันดีว่าการดื่มโซดามีความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ก็ยังมีชาวอเมริกันจำนวนมากที่ดื่มเครื่องดื่มอันตรายที่มีน้ำตาลส่วนเกิน แม้ว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของโซดาจะมียอดขายที่ลดลง แต่ทุกๆ ปีก็ยังคงมีคนที่ซื้อมันกว่า 75 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สิ่งนี้นำไปสู่การเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคอ้วน ฟันผุ โรคหัวใจ และ อื่นๆ อีกมากมาย หากคุณยังคงต้องการต่อสู้กับนิสัยเสพติดน้ำตาลและโซดา นี่คือเหตุผลบางส่วนที่จะทำให้คุณตัดสินใจถอยห่างจากมันได้ไวยิ่งขึ้น
1. โซดาสามารถนำไปสู่โรคกระดูกพรุน
source: rebloggy.com
ไม่ว่าจะเป็นไดเอทโซดาหรือโซดาแบบปกติ โซดาทั้งหมดก็มีส่วนประกอบของฟอสเฟตหรือกรดฟอสฟอริกเพื่อให้พวกมันมีรสชาติเปรี้ยวและเก็บมันเอาไว้ได้นาน กรดฟอสฟอริกมีอยู่ในอาหารจำนวนมาก แต่ถ้ามากจนเกินไปก็สามารถนำไปสู่ปัญหาโรคหัวใจและไต สูญเสียกล้ามเนื้อ ภาวะกระดูกพรุน และเร่งความเสื่อมของวัยให้กับร่างกายของคุณ ปริมาณการบริโภคกรดฟอสฟอริกที่มากเกินไปจะเกี่ยวข้องกับปริมาณแคลเซียมซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียกระดูก และคาเฟอีนในโซดาสามารถรบกวนการดูดซึมแคลเซียม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นไดเอทโซดาหรือโซดาแบบปกติก็สามารถลดความหนาแน่นของมวลกระดูก และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุนได้เช่นกัน
2. โซดาเป็นสาเหตุของการเกิดไขมัน
source: www.appszoom.com
นักวิจัยชาวเดนมาร์กค้นพบว่าการดื่มโซดาที่ไม่มีไขมันนำไปสู่การเพิ่มการสะสมไขมันบริเวณตับและกล้ามเนื้อโครงร่าง สิ่งนี้นำไปสู่การต่อต้านอินซูลินและโรคเบาหวาน จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาหกเดือนจะเห็นการเพิ่มขึ้นในไขมันตับ ไขมันที่สะสมตามกล้ามเนื้อลาย ไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และไขมันที่อวัยวะสำคัญอื่นๆ พร้อมทั้งการเพิ่มขึ้นในคอเลสเตอรอล 11% ไม่เพียงแต่โซดาจะนำไปสู่ไขมันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น มันเป็นสาเหตุทำให้สร้างบางสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
3. โซดามีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
source: www.alux.com
“สีคาราเมลเทียม” เป็นสารเติมแต่งในโซดาให้โซดามีสีน้ำตาล ส่วนผสมนี้มีสองสิ่งปนเปื้อนก็คือ 2-methylimidazole และ 4-methylimidazole ทั้งคู่ถูกค้นพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งในสัตว์ และสอดคล้องกับทฤษฎีบทที่ 35 จากการควบคุมของรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ได้กล่าวถึงรายชื่อของสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เพียงมี 4-methylimidazole แค่ 16 ไมโครกรัมต่อวัน ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดภัยคุกคามโรคมะเร็ง สิ่งที่น่ากลัวคือ: โคล่าสีน้ำตาลเป็นที่นิยมมากที่สุดทั้งแบบไดเอทและแบบปกติ ทั้งคู่ประกอบด้วย 200 ไมโครกรัมต่อขวด 20 ออนซ์
4. โซดาทำให้เกิดฟันผุ
source: www.taringa.net
ทันตแพทย์มีรายชื่อฟันผุที่พวกเขาเห็นในเด็กและผู้ใหญ่ที่ดื่มโซดามากเกินไป เรียกว่า “Mountain Dew Mouth” ผู้ที่ดื่มโซดามากเกินไปสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยการที่ปากของพวกเขาจะเต็มไปด้วยฟันผุ กรดซิทริกในโซดาจะกัดกร่อนฟันที่ถูกเคลือบไว้จนในที่สุดก็ถึงเนื้อฟัน
5. โซดานำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ มากมาย
source: www.pinterest.com
- ไขมันพอกตับของคนที่ไม่ได้ดื่มสุรา: การบริโภคฟรุกโตสมากเกินไปผ่านเครื่องดื่มหวานๆ สามารถทำให้ฟรุกโตสจากตับกลายเป็นไขมัน และไขมันนี้ก็จะยังคงอยู่ในตับและนำไปสู่การเกิดโรคไขมันพอกตับแม้ว่าจะไม่ได้ดื่มสุรา
- การมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน: การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไปสามารถก่อให้เกิดเซลล์ที่มีผลกระทบต่ออินซูลิน ดังนั้นตับอ่อนก็จะผลิตอินซูลินมากยิ่งขึ้น การขจัดกลูโคสออกจากกระแสเลือดจึงต้องเพิ่มระดับอินซูลินเพื่อนำไปต้านทานอินซูลินด้วยกันเอง
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2: การดื่มโซดาอย่างน้อยที่สุดวันละ 1 กระป๋องสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ ลองคิดเล่นๆ ว่าหากคนอเมริกันดื่มโซดาคนละ 1 กระป๋องในชีวิตประจำวัน เกือบ 3.5 ล้านคนก็อาจจะกลายเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน
- โรคหัวใจ: เครื่องดื่มที่มีรสหวานสามารถเพิ่มปัจจัยเสี่ยงหลักของการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาหลายแห่งได้เชื่อมโยงระหว่างการบริโภคน้ำตาลกับความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกวันอาจทำให้เกิดความเสี่ยงของอาการหัวใจวายสูงขึ้น 20%
- ภาวะสมองเสื่อม: นักวิจัยได้พบความเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะสมองเสื่อม เครื่องดื่มที่ให้ความหวานสามารถทำให้สูญเสียความทรงจำและความสามารถในการตัดสินใจ ที่นำไปสู่การเป็นโรคอัลไซเมอร์
หวังว่าข้อเสียจากการดื่มโซดาทั้ง 5 ข้อนี้จะทำให้ใครหลายๆ คนลดปริมาณการดื่มลงได้ หากคุณมีนิสัยเสพติดต้องดื่มโซดาทุกวันอาจจะค่อยๆ ลดปริมาณลงเป็นวันเว้นวัน และลดลงอีกให้เหลืออาทิตย์ละครั้ง สุดท้ายแล้วคุณก็จะเลิกดื่มโซดาได้เอง
ที่มา: davidwolfe