โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เคยกินแต่อาจไม่เคยรู้..นมแบบไหนดีที่สุด

LINE TODAY

เผยแพร่ 31 พ.ค. 2563 เวลา 18.28 น.

อย่างที่หลายคนรู้กันว่านมเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ ได้ทั้งโปรตีน วิตามิน แคสเซียม และแร่ธาตุอื่น ๆ มากมาย ทำให้เรานิยมดื่มนมกันจนเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสังเกตไหมว่าบรรดานมที่เราซื้อดื่มกันบ่อย ๆ เป็นประจำนั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร ทำไมนมบางชนิดต้องแช่ตู้เย็นตลอดเวลา แต่บางชนิดก็ไม่ต้อง แล้วนมแบบไหนมีประโยชน์มากกว่า วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าเราควรบริโภคนมแบบไหนมากที่สุด

นมก็คือนม นมสดก็คือนมที่รีดมาจากแม่วัวโดยตรง มีความหอมมัน มีไขมันและสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันนมประเภทนี้ค่อนข้างหากินได้ยาก เพราะส่วนใหญ่ที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตมักเป็นนมที่นำมาผ่านกรรมวิธีให้ความร้อนเพื่อกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำนม เป็นที่มาของนมประเภทต่าง ๆ ที่วางขายทั่วไปนั่นเอง

1. นมพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized milk)

นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนต่ำแต่ใช้เวลานาน เพื่อรักษากลิ่นและรสของนมเอาไว้ เป็นนมที่มีรสชาติและคุณค่าทางอาหารใกล้เคียงกับนมสดมากที่สุดด้วย การฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์จะฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค แต่ไม่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเน่าเสียได้ ทำให้นมประเภทนี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน และต้องแช่ตู้เย็นเท่านั้น

จริง ๆ แล้วนมพาสเจอร์ไรซ์เหมาะกับคนทุกเพศ ทุกวัย แต่ถึงแม้ว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์จะเป็นนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็ควรใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป เด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบควรได้รับการเลี้ยงดูดด้วยน้ำนมแม่ ที่นอกจากมีสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับทารกอีกด้วย

2. นมสเตอริไลซ์ (Sterilized milk)

นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงมากกว่า 100 องศาเซลเชียส ด้วยความที่ใช้ความร้อนสูง ระบบสเตอริไลซ์จึงสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเน่าเสียได้จนหมด ทำให้นมชนิดนี้สามารถเก็บได้นานกว่า 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น แม้คุณภาพน้ำนมจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก แต่ปริมาณวิตามินบีต่าง ๆ อาจจะลดลงเล็กน้อย ที่สำคัญในเรื่องของรสชาติเมื่อเทียบนมพาสเจอร์ไรซ์แล้ว นมสเตอริไลซ์จะมีรสชาติและความสดของนมน้อยกว่า

3. นมยูเอชที (UHT หรือ Ultra High Temperature milk)

นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 135 องศาเซลเชียส เป็นเวลานาน 2-3 วินาที แล้วนำมาบรรจุด้วยขบวนการปลอดเชื้อ ระบบยูเอชทีจะใช้อุณหภูมิสูงแต่ระยะเวลาการฆ่าเชื้อที่สั้นมากเพื่อไม่ให้คุณภาพของน้ำนมเปลี่ยนแปลงไป เป็นระบบที่สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้เกือบทั้งหมด สามารถเก็บได้นานถึง 6-9 เดือน โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น แต่ในเรื่องของรสชาติและความสดก็ยังด้อยกว่านมพาสเจอร์ไรซ์อยู่ดี

4. นมเปรี้ยว (Yoghurt หรือ Fermented milk)

นมสดที่ผ่านกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เชื้อจุลินทรีย์แลกโตบาซิลลัส นมเปรี้ยวจะย่อยง่ายกว่านมประเภทอื่น ๆ เป็นนมที่ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ เหมาะสำหรับคนท้องผูกเพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ แต่ข้อสำคัญก็คือไม่ควรนำนมชนิดนี้ไปเลี้ยงเด็กทารก ควรเก็บในตู้เย็นหรืออุณหภูมิไม่เกิน 10 องศาเซลเซียสตลอดเวลาและควรดื่มภายใน 7 วัน

5. นมผง (Dried milk หรือ Powder milk)

นมสดที่ผ่านกรรมวิธีระเหยน้ำออกจนเกือบหมด เหลือน้ำอยู่เพียงไม่ 3-5% การระเหยเอาน้ำออกยิ่งมาก ก็ยิ่งเก็บไว้ได้นาน แต่จะสูญเสียวิตามินบี 1 และวิตามินซีไปในระหว่างกรรมวิธีการผลิต ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะจะบริโภคนมผง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก

นมผงที่เหมาะสำหรับเด็กคือนมผงที่ผลิตจากน้ำนมสดธรรมดาที่เรียกว่า นมผงธรรมดาชนิดละลายได้ทันที ส่วนนมผงที่ผลิตจาน้ำนมขาดมันเนยผสมกับน้ำมันพืชที่เรียกว่านมผงแปลงไขมัน ควรใช้เลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ส่วนนมผงชนิดพร่องมันเนยและขาดมันเนยไม่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เหมาะกับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักมากหรือไขมันในเลือดสูง

นมผงบรรจุกระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดฝา สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 2 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดกระป๋องแล้ว ควรเก็บไว้ในที่แห้งและอุณหภูมิไม่สูงมาก แต่หลังจากเปิดใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 เดือน

การดื่มนมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

จริง ๆ แล้วเราจะดื่มนมเมื่อไหร่ก็ได้ จะเช้า กลางวัน เย็น หรือก่อนนอนก็ได้ แต่เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดื่มนมก็มีทริกเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเหมือนกัน

• การดื่มนมแต่ละครั้งก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้ซึมซับให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

        • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นลำไส้ใหญ่คือเวลา 05.00-07.00 น. ช่วงนั้นเป็นเวลาที่ลำไส้ใหญ่ได้ทำงานและเคลื่อนไหวมากที่สุด หากได้ดื่มนมสดหรือนมเปรี้ยวเข้าไปในเวลานั้น จุลินทรีย์จะเข้าไปทำหน้าที่เคลือบลำไส้ใหญ่ ให้มีการไหลลื่นทำให้สิ่งที่เกาะลำไส้ของเราไหลลงสู่ทวารหนักได้ง่าย

        • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานของกระเพาะคือเวลา 07.00น-09.00 น. เนื่องจากช่วงนี้เป็นเวลาที่ร่างกายพลังงานมากที่สุด นอกจากอาหารมื้อเช้าแล้ว หากได้ดื่มนมด้วยจะทำให้ร่างกายสดชื่นมากกว่าที่เคยเป็น เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยดูดซับน้ำนมที่ดื่มเข้าไปในช่วงเช้าส่งสารอาหารเข้าไปเลี้ยงสมองทำให้ปลอดโปร่งนั่นเอง

        • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานสมองคือเวลา 09.00-12.00 น. หรือช่วงที่กินอาหารเช้าไปแล้วสักพัก ช่วงเวลานี้ร่างกายจะต้องการพลังงานเพิ่มเติมในช่วงที่ 2 หากเรารับประทานนมเข้าไป ร่างกายจะตอบสนองในด้านความจำมายิ่งขึ้น

         • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นการทำงานของลำไส้เล็กคือเวลา 12.00-15.00 น. แต่ควรดื่มนมที่ไม่มีไขมันเพื่อช่วยย่อย และดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด และเพื่อให้ลำไส้เล็กได้มีเวลาย่อยดูดซึมได้ดีที่สุด

        • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของกระเพาะปัสสาวะคือเวลา 15.00-17.00 น. ซึ่งถ้าอยากให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีในช่วงนี้ก็ควรดื่มโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว

        • ช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มนมเพื่อกระตุ้นหัวใจคือเวลา 17.00-21.00 น. โดยเฉพาะถ้าดื่มนมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี และอีสูง (แทนอาหารมื้อเย็น) นอกจากจะได้รับประโยชน์แน่ ๆ แล้ว หากได้ออกกำลังกายมาด้วยแล้ว จะช่วยทำให้ร่างกายปรับสมดุลกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและหัวใจได้ดีอีกด้วย

        • ถ้าได้ดื่มนมในช่วงเวลา 21.00-23.00 น. จะช่วยให้หลับสบายตื่นมาพร้อมความสดใส

• อย่างที่รู้กันว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์เป็นนมที่มีคุณค่าสูงสุด ดังนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดจึงเป็นนมสดพาสเจอร์ไรซ์ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยที่สมองกำลังพัฒนา เจริญเติบโต

• ถ้าอยากดื่มนมอุ่น ๆ วิธีที่ถูกต้องคือ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 60 องศาเซลเซียส โดยอุ่นประมาณ 5-6 นาที ไม่ควรต้มนมจนเดือด เพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำนมอาจไหม้และกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้

• ไม่ควรดื่มนมควบคู่กับยา เพราะนมจะไปเคลือบกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมยา ก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรที่จะดื่มนม

• สำหรับทารกยังไงนมแม่ก็ดีที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรเลี้ยงทารกด้วยนมประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะนมเปรี้ยวหรือนมข้นหวาน เพราะนมข้นหวานเป็นแค่หางนมที่ถูกนำมาปรุงแต่งรสด้วยน้ำตาล

• นมที่เหมาะสำหรับเด็กก็คือนมที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่อย่างครบถ้วน

จะเห็นได้ว่านมเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์จริง ๆ แต่ถึงจะมีคุณค่าและอย่าลืมว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษเสมอ แม้จะยังไม่มีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนออกมาว่าการดื่มนมในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพจริงหรือไม่ แต่ก็มีข้อสงสัยที่หาคำตอบไม่ได้มากมายเกี่ยวกับการดื่มนม ดังนั้นจึงต้องดื่มนมในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับเด็กวัยก่อนเรียนและวัยเรียน ควรดื่ม 2-3 แก้วต่อวัน สำหรับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เป็นวัยที่ต้องการสารอาหารเพิ่ม เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและชะลอการสูญเสียมวลกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน จึงแนะนำให้ดื่มนมสดรสจืด โดยแนะนำให้ดื่มนม 2 แก้วต่อวัน

ส่วนหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรดื่มนม 2 แก้วต่อวันและบริโภคปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนกินข้าวหรือผักใบเขียวเข้ม 4 ทัพพี หรือเต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเพิ่ม ในขณะที่ผู้มีปัญหาภาวะไขมันในเลือดสูง ควรเลือกดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือนมไร้ไขมัน 1-2 แก้วต่อวัน เพราะฉะนั้นมาดื่มนมกันเถอะ ~

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0