โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เข้าซื้อหุ้นสายการบินเพราะอะไร? หลังงบขาดทุนอ่วม-ราคาดิ่งเหว

Wealthy Thai

อัพเดต 20 ธ.ค. 2562 เวลา 07.03 น. • เผยแพร่ 20 ธ.ค. 2562 เวลา 07.03 น. • wealthythai
เข้าซื้อหุ้นสายการบินเพราะอะไร? หลังงบขาดทุนอ่วม-ราคาดิ่งเหว

หุ้นสายการบินนับว่ามีวอลุ่มการซื้อขายจำนวนมาก ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ต่างเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น บางครั้งยังมีนักวิเคราะห์เชียร์ “ซื้อ” แม้ประเมินว่าผลประกอบการก็คงมีการขาดทุนอยู่ รวมทั้งการแข่งขันด้านราคาที่ยังคงอยู่ในระดับสูงของหุ้นกลุ่มนี้ โดยเฉพาะราคาบัตรเที่ยวบินในประเทศ ที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่องทั้งปัจจัยภายในประเทศ หรือนอกประเทศก็ตาม ถือเป็นแรงกดดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศปรับตัวลดลง รวมทั้งปัจจัยด้าน ค่าเงินบาทที่แข็งค่า การแข่งขันอุตสาหกรรมการบินที่รุนแรง  และต้นทุนราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยลบต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าหุ้นกลุ่มสายการบินขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดงวด 9 เดือน 2562 ก็ยังมีผลขาดทุนอยู่ โดย THAI งวด 9 เดือน 2562 ยังมีผลขาดทุนระดับ 11,119.87  ล้านบาท ส่วน BA ที่ล่าสุดในงวด 9 เดือน 2562 กลับมีผลขาดทุน 131.53  ล้านบาท ขณะที่ NOK งวด 9 เดือน 2562 มีผลขาดทุน 1,615.31 ล้านบาท และ AAV ในงวด 9 เดือน 2562 มีผลขาดทุน401.91 ล้านบาท
สะท้อนจากถ้อยคำของนายอนวัช ลีละวัฒน์วัฒนา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สายงานการเงินและบัญชี บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ที่ทาง Wealthy thai ได้มีโอกาสเข้าสัมภาษณ์ โดยมองปี 2563 จะมีปัจจัยกดดัน 5 ด้าน เริ่มจาก 1. เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว 2.ค่าเงินบาทที่ยังคงมีแนวโน้มแข็งค่า
3.สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยมีคู่แข่งจากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศเวียดนาม เป็นต้น โดยมองว่า รัฐบาลไทยต้องมีการปรับปรุงหรือพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้มีความน่าสนใจขึ้น และสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อบ้านได้ หลังจากช่วงที่ผ่านมาพบว่า นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะต่างประเทศ ไหลเข้าไปประเทศดังกล่าวในระดับสูง
4.ภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะเส้นทางบินภายในประเทศ ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบโดยตรงต่อบริษัท และ 5.มองว่าในปี 2563 จะมีกิจกรรมระดับโลกเกิดขึ้น ทั้งกีฬาโอลิมปิก และงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ซึ่งปกติจะทำให้การเดินทางลดลง
มุมมองปี 2563 จะมีปัจจัยกดดัน 5 ด้านข้างต้นนั้น  จึงมองว่า ปี 2563 รายได้รวมและจำนวนผู้โดยสาร จะทรงตัวจากปี 2562 ส่วน Load Factor คาดเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68-69% อย่างไรก็ตามบริษัทยังไม่มีแผนเปิดเส้นทางการบินใหม่ แต่มีแผนเพิ่มอัตราใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และมีแผนลดความถี่บางเส้นทางในช่วงฤดูโลว์ซีซั่น เพื่อลดต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับรายได้จะมาจากธุรกิจใน 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.ธุรกิจการบิน ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 80%, 2.ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน ซึ่งบริษัทได้รับสัมปธานในสนามบินสุวรรณภูมิใน 3 กิจกรรม ได้แก่ ครัวการบิน, การให้บริการภาคพื้นดิน และคลังสินค้า ปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ประมาณ 13-15%, 3.ธุรกิจเจ้าของสนามบิน ปัจจุบันมี 3 แห่ง ได้แก่ สนามบินสมุย, สนามบินสุโขทัย และสนามบินตราด และ 4.ธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี หรือร้านค้าดิวตี้ฟรี (Duty Free) ซึ่งธุรกิจเจ้าของสนามบินและธุรกิจร้านค้าปลอดภาษี มีสัดส่วนรายได้รวมกันที่ประมาณ 5-7%
นอกจากนี้บริษัทยังได้ทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันล่วงหน้าไปจนถึงไตรมาส 4/2563 ในราคาประมาณ 74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล แบ่งเป็น ไตรมาส 1/2563 สัดส่วน 65% ไตรมาส 2/2563 สัดส่วน 56% ไตรมาส 3/2563 สัดส่วน 39% และไตรมาส 4/2563 สัดส่วน 29% เมื่อเทียบจากช่วง 9เดือนปี 2562 บริษัทมีต้นทุนราคานำมันที่ระดับ  80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 5%  5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนแนวโน้มปี 2562 คาดว่ารายได้และจำนวนผู้โดยสารน่าจะทรงตัวจากปี 2561 ที่มีรายได้ 28,746.16 ล้านบาท และมีจำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ประมาณ 5.8 ล้านคน โดย ณ ไตรมาส 3/2562 บริษัทมีฝูงบิน 40 ลำ โดยเตรียมปลดประจำการ 2 ลำ ทำให้สิ้นปี 2562 มีฝูงบิน 38 ลำ นอกจากนี้ในปี 2563 มีแผนปลดประจำการอีก 1 ลำ ส่งผลให้มีฝูงบิน 37 ลำ
สำหรับหุ้นกลุ่มสายการบินนั้น ได้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI, บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA, บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK และ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV

 

 

 

ปัจจัยทั้งหมดนั้น หุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร แล้วผลประกอบการจะไปในทิศทางไหน?

นักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ NEUTRAL กลุ่มการบิน  และยังเลือก AAV (BUY, เป้า 4.16 บาท) เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มฯ จากจุดเด่นเป็นผู้ประกอบการสายการบินที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและบริหารต้นทุนดีที่สุด คาดผลประกอบการฟื้นเป็นกำไรในปี 2563 โดยขณะนี้ราคาหุ้นถูกซื้อขายที่ Forward PBV ปี 2020F ที่เพียง 0.5 เท่า เท่านั้น
ทั้งนี้ หากกรมสรรพสามิตลดภาษีน้ำมันเครื่องบินลงจากปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 4.726 บาท/ลิตร กลับไปใช้ในอัตราเดิมที่ 0.20 บาท/ลิตร (ซึ่งเป็นอัตราก่อนที่จะมีการขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินในปี 2560) เราประเมินส่งผลบวกต่อ AAV และ BA ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลงจากเดิม 1,300 ล้านบาท/ปี และ 700-800 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ (ปัจจุบันต้นทุนน้ำมันเครื่องบินอยู่ที่ 14.31 บาท/ลิตร และเมื่อรวมอัตราภาษีน้ำมันแล้วจะอยู่ที่ 19.50 บาท/ลิตร)
ด้าน THAI โดย IAA Consensus แนะนำ “ถือ” 2 ราย และแนะนำ “ขาย” 5 ราย ให้ราคาเป้าหมาย 2.10-6.50 บาท โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ได้แนะนำ “ขาย” ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 63 ที่ 6.40 บาท โดยปรับลดประมาณการกำไรปี 2562-2563 ลงเป็นขาดทุนสุทธิ 12,776 ล้านบาท และขาดทุน 7,976 ล้านบาท ตามลำดับ 
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2562 คาดผลการดำเนินงานหลักยังขาดทุนต่อ แต่มีโอกาสขาดทุนลดลง จากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ที่มากขึ้นตามฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ประกอบกับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำ แรงหนุนจากการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลงจากปีก่อน อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อทั้งภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของไทย
ส่วนแนวโน้มปี 63 คาดว่าจะขาดทุนลดลง โดยยังมีความท้าทายจากแผนฟื้นฟูผลการดำเนินงานเร่งด่วน Montra เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการหารายได้โดยใช้ Digital Marketing เพิ่มรายได้จาก Non-Core Business (MRO/Catering) เร่งสรุปแผนการจัดซื้อฝูงบินใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือการจัดการกับค่าใช้จ่ายที่ยังอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ NOK โดยล่าสุดไม่มีบทวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์ แต่ก่อนหน้านี้ นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NOK เปิดเผยว่า สายการบินนกแอร์ได้มีการวางแผนที่จะขยายเส้นทางการบินไปในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยจะเริ่มเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – ฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ภายในเดือนธันวาคมนี้
อนาคตบริษัทยังวางแผนที่จะขยายเส้นทางการบินในเมืองอื่นในประเทศญี่ปุ่นให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่มีการนำร่องฮิโรชิม่าเป็นเมืองแรก เพื่อสร้างผลการดำเนินงานของบริษัทให้บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนตามแผนบริหารฟื้นฟูกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน AAV โดย IAA Consensus แนะนำ “ซื้อ”  9 ราย ถือ 2 ราย เป้าหมาย 2.85-4.60 บาท ซึ่ง นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ยังแนะนำ "ซื้อ" ปรับราคาพื้นฐานลงเป็น 4.26 บาท ปรับปี 2562 เป็นขาดทุน 131 ล้านบาท และปี 2563 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้/ตั๋วที่ฟื้นตัว ต้นทุน/หน่วยคาดลดลงจากรับ A321NEOs ที่มีที่นั่งเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันที่ต่ำลง คาดมีกำไร 561 ล้านบาท แต่ด้วยความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกปรับการอิง P/B ลงเป็น 1 เท่า
โดยได้ปรับเป้าผู้โดยสารปี 2562 ลงเป็น 22.5 ล้านคน จากเดิม 23 ล้านคน และโมเมนต้มรายได้/ตั๋วคาดยังสูงขึ้น จากไตรมาสก่อน ในขณะที่ต้นทุน/หน่วยคาดยังลดลง ตามราคาน้ำมัน จึงคาดไตรมาส 4/2562 จะพลิกมามีกำไรได้ จากปีก่อนขาดทุน แต่คาดว่าจะยังไม่สามารถกลบขาดทุนในงวด 9 เดือน 2562ได้ทั้งหมด
สำหรับ BA โดย IAA Consensus แนะนำ “ซื้อ” 3 ราย ถือ 2 ราย เป้าหมาย 10.30-15.60 บาท โดยนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  ยังแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐาน 12.90 บาท โดยเพิ่มคาดการณ์ขาดทุนปี 2562 เป็น 579 ล้านบาท และปี 2563 คาดกำไร 123 ล้านบาท ตามต้นทุนน้ำมันลดลงจากทำ Hedging ไว้ราว 47% ในราคาต่ำลง ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว จึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"
ส่วนไตรมาส 4/2562 คาดว่าจะอ่อนตัวลง จากเกาะสมุยเป็น low season ประกอบกับการแข่งขันทั้งในสายการบินและแหล่งท่องเที่ยวต่างประเทศ เงินบาทแข็งค่า ยังกดดันรายได้/ตั๋ว รวมถึงรายได้ธุรกิจที่ยังหดตัว จึงคาดน่าจะมีผลขาดทุน
“ปัจจัยกดดันอีกอย่างหนึ่งของหุ้นกลุ่มนี้ ยังมาจากราคาน้ำมันที่มีทิศทางปรับตัวเพิ่มมากขึ้น แล้วนับจากนี้ธุรกิจเหล่านี้จะยังน่าสนใจหรือไม่ จากที่เรารายงานมุมมองนักวิเคราะห์ต่างคาดการ์ว่าผลงานปี 62 ยังมีผลขาดทุน แต่ปี 2563 ก็ยังมีความท้ายทายเช่นเดียวกัน เราก็ต้องติดตามกันอบย่างใกล้ชิดว่า หุ้นกลุ่มนี้จะกลับมาสดใสได้อีกครั้งเมื่อไหร่กันแน่ แต่ที่น่าจับตา ก็คือ AAV กับ BA ที่นักวิเคราะห์ต่างเชื่อว่าปี 63 ผลงานจะกลับมามีกำไรให้เราได้เชยชม”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0