โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เขาลาออกจากงานเพื่อเดินทางไปค้นหาโลก คุยกับ 'เฟิสท์' เจ้าของเพจ Path to Odyssey

LINE TODAY

เผยแพร่ 19 ก.ย 2561 เวลา 04.00 น. • nawa. | @mint.nisara

เรื่อง : nawa. | วีดีโอ : @mint.nisara

เข้าเรื่องเลยแล้วกัน วันนี้ทีม LINE TODAY มีนัดกับหนุ่ม ‘เฟิสท์’ วิริทธิพล วิธานเดชสิทธิ์ เจ้าของเพจ 'Path to Odyssey เพจท่องเที่ยวที่ไม่ได้เริ่มจากการท่องเที่ยว และเป็นเพจท่องเที่ยวที่มีดีมากกว่าการท่องเที่ยว!

  • เขาเคยได้รับรางวัลภาพถ่ายสารคดียอดเยี่ยม จาก National Geographic ของไทย 2 ปีซ้อน

  • เขาฉีกกฎการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเวนิส ประเทศอิตาลี ด้วยรถยนต์ ในเวลาเพียง 45 วัน

  • เขากล้าลาออกจากงานประจำ เพื่อเข้าสู่วงการ ‘นักเดินทาง’ อย่างเต็มตัว 

เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า "โลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะอยู่เฉย ๆ"

เมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นของเพจ Path to Odyssey ว่าเป็นไงมาไง เฟิสท์ก็เล่าให้ฟังว่า เกิดจากการพยายามหาช่องทางที่เป็นสื่อกลางระหว่างเขากับคนดู "คือเราเองเป็นช่างภาพด้วย เราก็อยากให้คนเห็นงานเราอยู่แล้ว ก็พยายามหานู่นหานี่ สุดท้ายก็มาจบที่เพจ แล้วช่วงนั้นโซเชียลมีเดียที่บูมสุดคือ เฟซบุ๊ก ก็เลยรู้สึกว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีถ้าเราจะเปิดเพจขึ้นมา จะได้กระจายงานของเราให้คนอื่นเห็น ความตั้งใจแรกไม่ได้ตั้งใจเป็นเพจท่องเที่ยว แค่อยากขายงาน แบบเพจช่างภาพทั่วไป แต่ทำไปทำมาคิดว่าอยากหาไดเรกชั่นให้มันสักนิดนึง สุดท้ายก็จบที่ท่องเที่ยวไปเลย"

ทำงานประจำอยู่ดี ๆ ก็ขอลาออก

"เริ่มแรกเราทำงานประจำเป็นโปรดักชั่นโฆษณาก่อน พอทำไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกว่ามันมีทั้งงานที่ชอบ และไม่ชอบ ก็เลยพยายามจะหาว่าเราจะทำอะไรต่อไปดี เรารู้ว่าเราชอบถ่ายภาพ แต่นอกจากสารคดีแล้วเรายังชอบอะไรอีกมั้ย มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นการอยากลาออกจากงาน ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบ เพิ่งทำงานใหม่ๆ มันยังมีไฟ รู้สึกว่าเรายังอยากเที่ยวอยู่ ช่วงนั้นอยากไปเนปาล เลยหาข้อมูลว่าไปยังไง ก็พบว่าถ้าไปเทรคกิ้งมันใช้เวลาค่อนข้างนานหลายวัน ก็เลยไปคุยกับเจ้านายว่าจะเป็นไปได้มั้ยถ้าจะขอลาแบบ Leave without pay สักเดือนนึง ลาแบบไม่เอาเงินเดือนเลย พอเขาได้ยินเขาก็ลำบากใจ เพราะถ้าอนุญาตให้เราไป คนอื่น ๆ ก็อาจจะอยากทำแบบนี้ด้วย เขาเลยถามกลับมาว่า ถ้าไม่ได้จะเป็นยังไง เราก็เลยบอกว่า เราอาจจะลาออก คือเราอยากใช้ตังอะ อยากไปเนปาลอะ (หัวเราะ) " 

เฟิสท์บอกว่า หลังจากใจกล้าขอเจ้านายแบบตรง ๆ เจ้านายไม่ได้อนุมัติ แต่กลับมาพร้อมขอเสนอที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล

“เขาบอกเราว่า มึงหยุดก่อน คนเรานะ มีสุขกับทุกข์ ถ้าเรามีเงินเราจะสุขหรือทุกข์ก็ได้ แต่ถ้ามึงไม่มีเงิน มึงทุกข์แน่นอน! (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งลาออก เจ้านายก็เลยเสนอโปรเจ็กต์นึงมาให้ เป็นโปรเจ็กต์ที่ต้องขับรถยนต์จากไทยไปเวนิส ประเทศอิตาลี ให้ไปลองทำก่อน แล้วหลังจากนี้จะลาออกมั้ยค่อยว่ากัน ก็เลยตอบตกลง”

ทริป 45 วัน จากไทยสู่เวนิส

"จริง ๆ ทริปนี้มันก็คือการไปทำงานแหละ แตกต่างจากการไปเที่ยวเองอยู่แล้ว อย่างแรกคือเราไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน ไปกันเป็นคาราวานเลย รถ 11 คัน มันเปลี่ยนชีวิตเราไปอย่างที่บอก เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากเอเชียไปสู่ยุโรป ได้เห็นวัฒนธรรม หน้าตาคน พฤติกรรม อะไรต่าง ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ พอกลับมาทำให้เรารู้สึกเลยว่า โลกนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะอยู่เฉย ๆ ตอนนั้นอายุ 23 ปี ก็คิดว่าที่เราเคยไปมาเนี่ยยังไม่ถึงครึ่งโลกเลย มันยังน้อยมาก แล้วโลกนี้มันใหญ่มโหฬาร เลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว การเห็นโลกให้ได้เยอะที่สุดนี่คือเป้าหมายสำคัญ ทริปนี้เลยเปลี่ยนแนวคิด ก็เลยลาออกมาใช้ชีวิต ยอมรับว่าช่วงแรก ๆ เราก็มีความคิดแบบเด็กจบใหม่ว่าทำงานแล้วก็เก็บตัง แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ต้องใช้ตัง เราเชื่อว่าประสบการณ์ซื้อได้ อย่างน้อยก็ซื้อตั๋วแหละ!"

อุปสรรคในการเดินทางครั้งนี้ ไม่ธรรมดาเลย 

"ช่วงเข้าตุรกี ไกด์ที่นั่นโคตรโง่เลย! (หัวเราะ) วันแรกก็พาหลงทางไปเป็นพันกิโลฯ เลยนะ จากระยะตั้งต้น 18,000 กิโลฯ จบทริปเลยกลายเป็น 20,000 กิโลฯ เฉยเลย ส่วนหนักสุดน่าจะเป็นเข้าเติร์กเมนิสถานไม่ได้ ติดอยูในคีกีซสถาน 4 วัน เหมือนตอนนั้นวีซ่ารถยนต์ที่ขับไปไม่ผ่าน คือเติร์กเมนิสถานเป็นคอมมิวนิสต์แบบเต็มตัว เขาก็เลยตรวจเข้มมาก

มีอีกที่นึงที่พีกมากคืออิหร่าน เวลาเราขับรถไป เจ้าหน้าที่เค้าจะถามละเอียดยิบเลย วันนี้ไปที่ไหน ถึงกี่โมง ถ้ายังไม่ถึงตามเวลาที่กำหนด จะมีเฮลิคอปเตอร์กับตำรวจออกตามหา คือมันเป็นโซนตะวันออกกลาง แล้วเราดันขับรถยนต์รุ่นที่ผู้ก่อการร้ายใช้เป็นอันดับ 1 ก็เลยโดนอารักขาเป็นพิเศษ โซนนั้นมันใกล้ชายแดนซีเรียด้วยแหละ คนเดินถือปืนทั้งเมืองเลย มันเลยไม่สามารถค่ำไหนนอนนั่นได้

จริง ๆ ชอบอิหร่านมากเหมือนกัน เราดูตามหนังมันดูโหดร้ายมากเลยนะ แต่พอได้ไปจริง ๆ ผู้คนอัธยาศัยดี เป็นเมืองที่น่ารัก อารมณ์คล้ายๆ กับอินเดียมั้ง เดินไปตรงไหนคนก็ชอบเซลฟี่ ยิ้มแย้ม แล้วเคยคุยกับคนอิหร่าน เค้าเล่าให้ฟังว่า ประมาณ 1 ใน 20 คนที่ชอบมาเซลฟี่กับเรา ในนั้นจะมีเจ้าหน้าที่แฝงตัวมาเสมอ เหมือนมาเก็บข้อมูลเราไว้อะไรแบบนี้"

พอจบทริปแล้วสุดท้ายเขาก็ลาออกจากงานจริง ๆ ซึ่งครั้งนี้เจ้านายก็ไม่ขัด (เจ้านายคงคิดในใจว่า กูไม่น่าเล้ย!)

"พอลาออกมาก็ตามสไตล์คนที่ลาออก นอนทั้งวัน ตื่นมา 5 โมงเย็น โอ้ย แฮปปี้ ทำแบบนี้อยู่สัก 1 อาทิตย์ แล้วก็เริ่มคิดว่าจะทำอะไรต่อไปดี ตอนนั้นก็ได้เจอกับแฟนคนปัจจุบันพอดี แฟนก็เลยเสนอว่าลองทำเพจดูมั้ย เราก็มองว่าเป็นไอเดียที่ดีนะ ก็เลยเปิดเพจ แล้วชวนแฟนไปเที่ยวอินโดฯ กลายเป็นคอนเทนต์แรกของเพจครับ”

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

ทริปแรกของเพจก็พีกเลย!

"ภูเขาไฟรินจานี อินโดนีเซีย นี่โหดที่สุดแล้ว ปกติไม่ค่อยได้เที่ยวกับแฟนเท่าไหร่ พอไปต่างประเทศด้วยกันครั้งแรกเราก็พาเค้าไปปีนเขาเลย ก็คิดว่าเค้าจะไหว เห็นออกกำลังกาย น่าจะแข็งแรง สรุปพอไปเท่านั้นแหละ ไม่ไหว! ผ่านมาครึ่งทางแล้ว เค้าก็ร้องไห้ คิดว่าคงไปต่อไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายก็สู้จนไปถึงจุดหมาย ที่มันพีกเพราะแฟนร้องไห้ เค้ารู้สึกเหนื่อย และรู้สึกเหมือนเป็นตัวถ่วง มันเลยทำให้เราคิดได้ว่า ถ้าเราไม่ได้เดินทางคนเดียว เราก็ต้องคิดถึงใจคนอื่นด้วย คิดเผื่อเค้าด้วย การไปครั้งนั้นมันเลยเปลี่ยนความคิดเราไปเยอะ เมื่อก่อนเราอีโก้สูงมาก ถ้าเจอแบบนี้ในอดีตคงเลิกกันไปแล้ว อารมณ์แบบเรื่องของมึง! พอโตขึ้นมาก็เลยเริ่มเข้าใจว่า โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบเรานะ เราต้องคิดเผื่อคนอื่นบ้างในบางสถานการณ์ ก็เลยมีผลต่อความคิดเราค่อนข้างมาก สอนเราหลายอย่างเลย นี่ก็เป็นคอนเทนต์แรกของเพจเราด้วย เปิดมาก็ปุ้งปั้งเลย (หัวเราะ)

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

จริง ๆ รินจานีไม่ได้ระยะทางไกลเลยนะ แต่มันชันมาก ชันบรม อารมณ์แบบเดินแค่ 6 กิโลฯ แต่ใช้เวลา 12 ชั่วโมงเลย เดินมาช่วงหลัง ๆ เริ่มเอามือค้ำเข่า  ไม่ไหวแล้ว แล้วเดินไปเรื่อย ๆ จะเจอคนร้องไห้เป็นระยะ ๆ ด้วยนะ นอกจากแฟนเราก็มีฝรั่งอีกหลายคน มีเสียงสะอื้นตลอดทางเลย"

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

การถ่ายทอดเรื่องราวแบบ ‘สารคดี’ ที่ทำให้ Path to Odyssey แตกต่าง 

อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าเฟิสท์มีดีกรีเป็นถึงเจ้าของรางวัลภาพถ่ายสารคดี National Geographic Thailand 2 ปีซ้อน คนรุ่นใหม่กับสารคดีฟังดูอาจจะไม่เข้ากัน แต่หากได้ฟังแนวคิดของเขา มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองไปเลย

สำหรับเฟิสท์ เขามองว่า "สารคดีคล้ายๆ ข่าว คือเป็นความจริงในวันนี้ แต่ทุกวันนี้สารคดีมันแตกแขนงออกไปไกลมาก นิตยสารต่างประเทศบางทีลงภาพ Portrait ก็มี มันอยู่ที่การเล่าเรื่อง แต่ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจริง ภาพต้องไม่มีการตัดต่อเลย มันทำให้เราเป็นคนที่ชอบความจริงมาก อย่างถ่ายภาพผู้หญิงออกมาอ้วน เอ้าก็มึงอ้วนไง! ความจริงอ่ะ (หัวเราะ) เราถูกหัดให้มองแบบความจริง ไม่ชอบการบิดเบือน”

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

ได้รับรางวัล National Geographic เป็นตัวการันตี

"ตอนนั้นได้เรียนวิชาถ่ายภาพสารคดี แล้วได้ข่าวว่า National Geographic ไทยมีประกวดภาพถ่ายพอดี ก็ลองส่งไปเป็นประสบการณ์ สุดท้ายติดรอบ 10 คนก็แฮปปี้มาก รู้สึกชนะแล้ว โอเคแล้ว พอได้ไปนำเสนอรอบสุดท้าย ได้พบปะคนในวงการสารคดีจริง ๆ ปีแรกก็ได้รางวัลที่ 3 นี่คือแข่งกับคนทั่วประเทศ ไม่จำกัดอายุเลยนะ รางวัลนี้มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนมาก ทำให้เราได้มีโอกาสไปช่วยพี่ ๆ ทำงานในชีวิตจริง พอปีถัดมา ส่งอีก ก็ได้รางวัลอีก กรรมการเลยบอกว่าโอเค ปีหน้าไม่ต้องส่งแล้วนะ (หัวเราะ)"

"หลังจากวันนั้นมันก็เริ่มมีความคิดเปลี่ยนไปแล้ว สารคดีพาเรามาถึงวันนี้ เราเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการสารคดีแล้ว แต่เราเริ่มตรัสรู้ได้ว่า สารคดีมันทำเอารวยไม่ได้ ชาตินี้ไม่รวย ทุกคนที่ทำสารคดีเป็นเพราะแพสชันล้วน ๆ"

ผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวมาอย่างโชกโชนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น 'บล็อกเกอร์ '

"เป็นนักเดินทางดีกว่า ยังไม่ถึงขั้นบล็อกเกอร์ เพราะบล็อกเกอร์จริงๆ ทำงานกันหนักมาก ต้องพยายามหาคอนเทนต์ตลอดเวลา แต่เราแค่อยากเอาสิ่งที่เราเจอ สิ่งที่มีคุณภาพ น่าสนใจ มาบอกต่อให้คนอื่นอ่าน คอนเสปต์เพจเราก็เหมือนสารคดี คือเล่าเรื่องจริงที่เราไปเจอมาให้ฟัง คนที่มาตามเพจเรา เข้ามาไม่ค่อยได้ข้อมูลอะไรหรอก แต่เราเน้นเล่าผ่านประสบการณ์มากกว่า"

ใครจะเชื่อว่าภายในเวลาเพียงแค่ 2 ปี  แพสชันนำพาชีวิตเขาไปแล้วกว่า 20 ประเทศ

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

ประเทศไหนที่ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเบื่อ

"คีกีซสถาน พอไปเจอรู้สึกเหมือนมองโกเลียผสมรัสเซีย แล้วเป็นประเทศที่จนมาก พอจนก็ไม่มีตังสร้างอะไรเลย ทุกอย่างก็เลยยังเหมือนเดิม เราเลยประทับใจ นี่แหละ Local ที่ต้องการ! ได้อารมณ์เลย นี่คือทางผ่านตอนทริปไปเวนิส แล้วเรารู้สึกอยากกลับไปอีกแน่นอน "

ประเทศนี้แหละที่ต้องไปก่อนตาย

"อเมริกาใต้ ที่มันเป็น Dream destination เพราะมันแพงไง เคยลองนั่งทำแพลนเล่น ๆ เสิร์ชตั๋วอะไรไป แค่ค่าตั๋วก็แสนนึงแล้ว โอ้โห จะเอาตังมาจากไหน สงสัยคงต้องซื้อลอตเตอรี่!"

ถ้าวันนึงเราจะต้องกลับไปสู่จุดที่เราเคยเป็น ทำงานประจำ เก็บเงินวนไป?

"คิดว่าสักวันน่าจะเป็นแบบนั้นอยู่ดี เพราะสุดท้ายเราคงอยากจะอยู่นิ่ง ๆ แล้ว แต่มันจะต้องนิ่งหลังจากที่เราทำทุกความฝันสำเร็จไปแล้วนะ"

In courtesy of Path to Odyssey
In courtesy of Path to Odyssey

สุดท้ายแล้วมีอะไรที่ยังอยากทำอีกมั้ย

"มีอีกเยอะเลย ทรานไซบีเรียนก็ยังอยากไป แต่คงจะทำให้จบทีละโปรเจ็กต์ ๆ ไป อย่างเนปาล โซนแอนตาร์กติกา แสงเหนืออะไรแบบนี้ ความฝันก็คือเก็บประเทศที่อยากไปให้ครบ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ"

ติดตามเรื่องราวการผจญภัยของเฟิสท์เพิ่มเติมได้ที่เพจ Path to Odyssey

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0