กรณีหลายชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐฯ สั่งห้ามเทคโนโลยีหัวเว่ย บริษัทด้านโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน เพราะกลัวว่ารัฐบาลจีนจะใช้หัวเว่ยเป็นช่องทางเข้าถึงเทคโนโลยีมือถือและเครือข่ายรุ่นที่ 5 (5 จี)
และจะทำให้จีนเก่งขึ้นเรื่องการสอดแนม อันเป็นข้อกล่าวหาที่หัวเว่ยและจีนปฏิเสธ
ไม่ใช่แค่แบนหัวเว่ย สหรัฐฯยังขอให้แคนาดาจับกุมนางเมิ่ง ว่านโจว ลูกสาวผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่การเงินหรือซีเอฟโอของหัวเว่ย ในข้อหาใช้ระบบธนาคารระดับโลกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ
การจับกุมทำแบบลับเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. วันเดียวกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ พูดคุยนอกรอบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน นำมาซึ่งการพักรบการค้า 90 วัน ก่อนจะมาเป็นข่าวเมื่อไม่นานมานี้ และนางเมิ่งกำลังรอคำตัดสินของศาลเมืองแวนคูเวอร์ว่าจะให้ประกันตัวหรือส่งตัวข้ามแดนให้สหรัฐฯ
จีนจึงโกรธและเห็นเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในยุคนายทรัมป์ที่ชูนโยบาย “อเมริกา เฟิสต์” ไล่ทุบหุ้นส่วนและบีบเอาคืนผลประโยชน์ที่สหรัฐฯเห็นว่าถูกเอาเปรียบมานาน
ทั้งหมดทั้งมวล นำมาซึ่งกรณีศาลเมืองฝูโจวของจีน สั่งห้ามแอปเปิลขายมือถือไอโฟนรุ่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าในจีน หลังศาลพบว่าผิดจริงตามข้อกล่าวหาของควอลคอมม์ บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์สัญชาติเดียวกันที่กล่าวหาแอปเปิลละเมิดสิทธิบัตรของตน 2 รายการ รวมทั้งระบบจัดการแอปพลิเคชันบนจอทัชสกรีน
แอปเปิลยืนยันต่อสู้อุทธรณ์คดีและระหว่างนี้ยังจะขายไอโฟนทุกรุ่นในจีน
กลุ่มทนายผู้ช่ำชองคดีเทคโนโลยีมองว่า คดีนี้ไม่เกี่ยวการเมืองโดยตรง แต่ปฏิเสธยากว่าจะไม่ถูกโยงเข้าสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่มีเรื่องเทคโนโลยีเป็นแกนกลางหลัก
ควอลคอมม์เปิดศึกเรื่องทรัพย์สินทางปัญญากับแอปเปิลแล้วนับสิบคดี รวมทั้งคดีล่าสุด จึงพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นการงัดข้อตอบโต้เอาคืนสหรัฐฯของจีนกรณีของหัวเว่ย
นายอีริค โรบินสัน ทนายความคดีสิทธิบัตรในกรุงปักกิ่งและเคยเป็นทนายของควอลคอมม์ สะท้อนให้เห็นว่า ช่วงหลายปีหลังศาลจีนตัดสินคดีด้วยความยุติธรรมมากขึ้น แต่เรื่องชาตินิยมน่าจะมีส่วนในคำตัดสินคดีนี้ด้วย.
เกรียงศักดิ์ จุนโนนยางค์