ถ้าหากมีการจัดแถวเลือกข้างในสงครามไฮเทคจีน-สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่แสดงจุดยืนค่อนข้างชัดเจนว่า เลือกอยู่ฝ่ายสหรัฐฯ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัท พานาโซนิค ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ประกาศระงับการขายชิ้นส่วนประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางชนิดให้กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการของสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ยฯ และลูกเครืออีก 68 บริษัทเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯจะมีการผ่อนปรนให้บริษัทอเมริกันยังสามารถทำธุรกรรมซื้อขายสินค้ากับหัวเว่ยฯ เป็นเวลา 90 วัน แต่พานาโซนิคก็ยังยืนยันที่จะทำตามมาตรการของสหรัฐฯในทันที โดยแถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า*“พานาโซนิคได้แจ้งให้พนักงานระงับการทำธุรกรรมการค้าใดๆกับหัวเว่ยฯและบริษัทในเครือ 68 รายที่มีรายชื่อในบัญชีดำของสหรัฐฯแล้ว” *
พานาโซนิค เป็นบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอซากา บริษัทไม่ได้มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนประกอบหลักๆอยู่ในสหรัฐอเมริกา แต่สินค้าที่ระงับการขายให้กับหัวเว่ยฯตามประกาศนั้น เป็นชิ้นส่วนที่อยู่ในข่ายมี “วัสดุประกอบ” หรือ “เทคโนโลยีต้นกำเนิด” จากสหรัฐฯคิดเป็นสัดส่วน 25% หรือมากกว่านั้น อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ระบุว่า ชิ้นส่วนดังกล่าวคืออะไร และผลิตจากโรงงานในประเทศใด ทั้งนี้ พานาโซนิคเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องจักรกลอัตโนมัติที่ใช้ในโรงงาน
*ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นยังตั้งข้อจำกัด ไม่ให้หัวเว่ยฯเข้าร่วมประมูลในโครงการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานรัฐบาลญี่ปุ่นอีกด้วย *
ด้านเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการทหารและทางเศรษฐกิจอีกรายหนึ่งของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย ทั้งยังเป็นที่ตั้งของฐานทัพอเมริกันเช่นเดียวกับญี่ปุ่น ก็กำลังถูกหว่านล้อมให้เข้าเป็นแนวร่วมในการคว่ำบาตรบริษัท หัวเว่ยฯ เช่นกัน สื่อท้องถิ่นเกาหลีใต้รายงานเมื่อวันที่ 23 พ.ค.ว่า รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังถูกล๊อบบี้จากสหรัฐฯให้ยกเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์สินค้าจากหัวเว่ยฯ ตามยุทธศาสตร์ใช้โลกปิดล้อมหัวเว่ยฯ
หนังสือพิมพ์โชซัน อิลโบ ของเกาหลีใต้ รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการพบปะระหว่างเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ โดยทางฝ่ายสหรัฐฯแจ้งว่า แอลจี ยูพลัส คอร์ป. ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมของเกาหลีใต้ และเป็นลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยฯ ไม่ควรได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมมีส่วนในโครงการที่สำคัญๆที่มีความ “อ่อนไหว” ทางยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการระบุว่า หัวเว่ยฯ ควรถูกแบนจากประเทศเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะโดยทันทีหรือในอนาคต เนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยฯอาจเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสถานทูตสหรัฐฯในกรุงโซลและกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ ขณะที่ แหล่งข่าวจากบริษัท แอลจี ยูพลัส ซึ่งถูกพาดพิงถึง ได้ออกมาชี้แจงว่า บริษัทยังไม่ได้รับการขอร้องหรือหนังสือแจ้งเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ของหัวเว่ยฯแต่อย่างใด ไม่ว่าจะจากทางการสหรัฐฯหรือทางการเกาหลีใต้
ทั้งนี้ แม้เกาหลีใต้จะเป็นพันธมิตรที่เหนีวแน่นกับสหรัฐฯ แต่จีนก็เป็นตลาดส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ โดยในระยะ 4 เดือนแรกของปีนี้ จีนเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกือบๆ 1 ใน 4 ของทั้งหมดที่เกาหลีใต้ส่งออก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกาหลีใต้เป็นประเทศแรกในโลกที่เปิดให้บริการเครือข่ายการสื่อสารความเร็วสูงในระดับ 5G ทั่วประเทศ และบริษัท แอลจี ยูพลัส หนึ่งในสามบริษัทท้องถิ่นที่ให้บริการ 5G ในเกาหลีใต้ ก็เป็นลูกค้าที่ใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีของหัวเว่ยฯ
