โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

#ฮาวทูเท เทอย่างไรไม่มูฟเป็นวงกลม - เพจบันทึกนึกขึ้นได้

TOP PICK TODAY

เผยแพร่ 19 มี.ค. 2563 เวลา 17.00 น. • เพจบันทึกนึกขึ้นได้

ทุกครั้งที่ต้องเลิกลา 

เราอาจไม่ได้รู้สึกเสียดายเค้า

มากไปกว่าเสียดายช่วงเวลาที่เคยได้อยู่ด้วยกัน

 

เราเสียดายบทสนทนาเหล่านั้น 

เสียดายความทรงจำที่มันมีค่ากับความรู้สึก

จนเราไม่อยากเสียอะไรไปอีกเลย 

 

นั่นเลยทำให้สุดท้าย มันทำให้เราเป็นคนเก็บ

เรายังเก็บทุกอย่างไว้ในความทรงจำ

บางครั้งก็ไปหยิบหาเอามาเพิ่ม

เติมวัตถุดิบใหม่ๆ ให้ปัจจุบันมันว้าวุ่น 

 

คนที่เดินถือความทรงจำอยู่ตลอดเวลา 

ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี 

มันก็หนักสมอง หนักหัวใจอยู่เหมือนกันนะ 

 

ถ้าไม่รู้จักเทความรู้สึกที่ไม่จำเป็นกับชีวิตออกไปบ้าง

แล้วเมื่อไหร่เราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้สักที 

 

เรื่องของความรักเนี่ย ใครไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นมักไม่ค่อยอิน

รวมถึงเรื่องของการเลิกลาก็ด้วย 

 

ไม่ค่อยมีใครเข้าใจความรู้สึกของความรัก หรือการเลิกลาของคนอื่น 

จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวเราเอง 

 

อาการพวกเจ็บหน้าอก มือสั่น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ 

ร้องไห้ไม่ออก ความรู้สึกที่เหมือนโดนอะไรเข้ามากรีดข้างในใจ

แบบที่แหวกออกมาก็ไม่พบอะไร 

นอกจากหัวใจที่มันบอบช้ำจากการกระทำของตัวเอง และใครอีกคน 

 

โตมาขนาดนี้แล้ว ผมก็ไม่ได้มีความรักมาแค่ครั้งเดียว 

พอพูดแบบนี้แล้วมันก็พอจะบอกเป็นกลายๆ ได้เหมือนกันนะว่า 

เรื่องที่กำลังเจออยู่ก็เป็นความรักอีกครั้งหนึ่งที่มันกำลังล่มสลาย แล้วยังไม่ผ่านไป

แต่พอผ่านไปได้ มันก็จะกลายเป็นอีกเรื่องที่มองกลับมาแล้วมันจะไม่มีความรู้สึกเข้ามาปะปนด้วย 

 

ประเด็นคือ มันยังไม่ผ่านไปสักทีนี่แหละ

 

โดนเค้าเทมาแล้ว 

แต่เราก็ยังเทความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาไม่ได้ 

ทุกวันทุกคืนแทบจะจมมหาสมุทรน้ำตาตาย 

ถ้าช่วงที่แผลสดหน่อยก็จะฟูมฟายมากหน่อย 

พอโตขึ้นมาหน่อย ระดับความฟูมฟายเรามันก็อาจจะไม่ได้เบอร์ใหญ่เท่าแต่ก่อนแล้ว

แต่ความไม่เบอร์ใหญ่ในการแสดงออกไปนี่แหละ

ที่มันทำให้ข้างในมันโคตรจะอึดอัด 

เพราะทุกวันต้องทำตัวปกติ เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น 

เรียกว่าไม่ได้ร้องไห้เบอร์ใหญ่ แต่แสดงออกว่าตัวเองปกติได้เกินเบอร์เอามาก ๆ 

 

เป็นเรื่องยากนะครับที่เราจะเทความรู้สึกดี ๆ ความเสียใจ ความเศร้า ออกไปในความคิดได้ 

 

ผมเลยมานั่งคุยกับตัวเองว่า 

ผมมีวิธีคิดยังไงบ้าง ที่จะค่อยๆ รินเอาความรู้สึก ความทรงจำเหล่านั้นออกมา 

ไม่ให้มันส่งผลกระทบกับตัวผมในวันถัดๆ ไป 

ผมไม่เชื่อนะว่า สุดท้ายแล้วเราจะเทมันออกไปจนหมด

เพราะบางวันเราก็ตักมันกลับเข้าไปอีก

 

แต่ถ้าการมีชีวิตอยู่คือการเยียวยาให้ตัวเองดีขึ้นกว่าเมื่อวาน

ถ้าทำได้ดีกว่าเดิมวันละ หนึ่งเปอร์เซ็นต์

นั่นก็น่าจะทำให้ค่อยๆ ดีขึ้นในระยะยาว

พอครบร้อยวัน ก็ร้อยเปอร์เซ็นต์

ทำบุญครบร้อยวันกันไปเลยแบบนี้ (ฮา)

  • ต้องไม่เติมเรื่องใหม่เข้าไปเพิ่ม

 

ผมมาสังเกตตัวเองจากการที่เลิกกับแฟนคนแรกๆ น่าจะเมื่อสิบปีก่อน

แน่นอนว่าตอนก่อน ชีวิตเราไม่ได้ออนไลน์กันขนาดนี้ 

การเลิกรา มันคือการแยกทางกันจริงๆ 

เราจะแทบไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเค้าเข้ามาเพิ่มในชีวิตเลย 

เราต่างหายจากกัน แรกๆ มันก็เจ็บเหมือนกันนั่นแหละ

แต่การไม่ได้พบ ไม่ได้รับรู้ ไม่ได้เติมอะไรเข้ามาเพิ่ม 

ทำให้ผมไม่ต้องมี material ใหม่ๆ เข้าไปสร้างเรื่องสร้างราว 

ให้ทุก ๆ วันต้องไปโฟกัสกับเค้าคนเดิม 

 

แต่ทุกวันนี้ชีวิตมันง่าย 

โลกของเค้ามันอยู่ในมือเรา 

หมายถึงแค่โลกที่เค้าอยากให้เห็นนะ 

โลกของเค้าจริง ๆ คือเค้าไล่เราออกมาแล้ว

 

ตอนนี้เราแยกทาง เราจบ 

แต่โลกของเค้าและเรายังคงออนไลน์

รอคอยให้นิ้วโป้งข้างที่เราถนัด แตะเข้าไปดูอีกครั้ง

 

เราสร้างแอ็คหลุม แอบเข้าไปส่องแฟนเก่า 

หวังเพื่อจะไปดูว่าชีวิตยังสุขสบายดีอยู่มั้ย 

เติมความรู้สึกที่ขาดหาย แต่พอเห็นแล้วกลับรู้สึกว่าเราขาดมากกว่าเดิม

 

เราอัพเดทสตอรี่ไอจี ทำเหมือนชีวิตโอเค แต่ในใจลึกๆ ก็แอบคิดว่าเค้าจะเข้ามาส่องด้วยรึเปล่า 

 

มันเป็นพฤติกรรมที่โคตรประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมาเลย 

ผมถามตัวเองตลอดเลยนะว่า ทำไรอะ เหงาหรอ ?

 

กดเข้าไปดูแล้วได้อะไร กดเข้าไปแล้วมันทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ใช่มั้ย

มันมีความอยากรู้และไม่อยากรู้เข้ามาผสมกัน 

เหมือนมันมีสัญชาตญาณว่า เค้าต้องกำลังทำสิ่งนี้อยู่แน่ ๆ 

กูอยากรู้มาก แต่พอได้รู้แล้วยังไงต่อ 

การที่ไม่รู้มาแล้วสองสามอาทิตย์ แล้วกลับมาดูวันนี้

ทำให้ระยะทางที่เยียวยา มันหดกลับไปที่เดิมเลยนะ 

 

การไม่รู้เพิ่ม มันคือลาภอันประเสริฐของผู้ที่ต้องมานั่งเยียวยาตัวเองเลยนะ 

 

จริง ๆ มันควรมีหนังสือฮาวทู ไม่ stalker ชีวิตแฟนเก่านะ 

คือเหมือนเราเข้าทวิตเตอร์แล้วตามแฮชแท็กใต้เตียงดารา

แต่มันคือแฟนเก่าเรา เราไถดูจนกว่าจะพอใจ 

แล้วก็ค้นพบว่า มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นกว่าเดิมเลย 

 

ผมเลยบอกตัวเองว่า 

ไม่เทนะ แต่ไม่ตักเอามาเพิ่ม 

ค่อยๆ ทำ ถ้ารู้สึกว่าอยากรู้ ไปทำอะไรทำ วางโทรศัพท์

อย่าไปอยู่กับมันมากโทรศัพท์ เวลาอกหัก

ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่จะทำให้เราดีขึ้น 

 

 

  • บางครั้งมันเป็นเรื่องของความเหมาะไม่เหมาะเหมือนกันนะ

 

เหมาะในที่นี้หมายถึง 

 

เค้าไม่เหมาะที่จะมาอยู่ในชีวิตของเราอีกแล้ว

ส่วนใหญ่ความคิดแบบนี้มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ

เราได้เจอกับเหตุการณ์ที่มันสะท้อน หรือพิสูจน์ได้ว่า

ช่วงเวลาที่เราตกต่ำ หรือช่วงเวลาที่เรามองว่าเค้าคือคนที่จะต้องผ่านมันไปกับเราให้ได้ 

 

จริง ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนะ ที่บอกว่าอยากให้ผ่านไปด้วยกัน

บางทีก็แค่อยากให้อยู่ข้างๆ อยากให้คอยให้กำลังใจ 

ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แต่คือเข้าใจแววตาที่มันเข้าใจกันปะ

 

จะเอาอะไรกับคนที่ไม่ได้รักแล้ว 

จะเอาอะไรกับคนที่ไม่ได้สนใจในความเป็นไปของชีวิตเราแล้ว

 

ผมถามตัวเองแบบนี้นะ 

 

พอเรารู้ว่า สุดท้ายแล้วเราเองก็ต้องเดินออกมา 

นั่นก็หมายความว่า เราต่างไม่ได้เหมาะสมกันอีกต่อไปแล้ว

 

เค้าก็ไม่ได้เหมาะที่จะมาเป็นใครสักคนที่เราควรให้ความสำคัญ

แล้วเราควรดีใจมั้ย ที่คนที่ไม่เหมาะสมได้ออกไปจากชีวิตเราแล้ว 

 

เราควรรู้สึกดีนะ ถึงแม้มันจะยอมรับความจริงได้ยาก 

แต่ถ้าถึงวันที่เรามีสติมากพอ เราจะเข้าใจว่าการจากไปของคนที่ไม่สำคัญ 

มันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ 

 

พอคิดแบบนั้นได้ ผมก็จะฟูมฟายกับมันน้อยลง

 

อีกอย่างนึงที่ผมคิดได้คือ มันมีเพื่อนสนิทผมคนนึง 

ส่งข้อความมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่ามันไปแอบอ่านมาในร้านหนังสือรึเปล่านะ 

 

เขียนไว้ประมาณว่า 

การที่เราเสียคนที่ไม่ได้รักเราไป 

เราไม่ควรเสียใจนะ 

คนที่ควรเสียใจคือคนที่เค้าเสียคนที่รักเค้ามากๆ ไปมากกว่า

 

มันก็จริง ทำไมเราถึงเศร้ากับการจากไปของคนที่ไม่ได้รักเรา

เค้ารึเปล่าที่ต้องเสียใจ ที่คนที่รักเค้ามากที่สุดคนนึงได้หายไปจากชีวิตเค้าแล้ว

 

แต่ก็นะ เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอก 

นั่นก็เป็นคำถามต่อว่า แล้วทำไมเราต้องรู้สึกอะไรต่อไปด้วย 

 

 

  • เราทุกคนต่างมีเหตุผลตอบรับการกระทำของตัวเอง

 

ประโยคนี้ทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า 

ทุกวันที่ผมยังมูฟออนต่อไปไม่ได้ 

เพราะผมไม่เคยยอมรับในเหตุผลการจากไปของเค้าเลย

ผมใช้เหตุผลของตัวเองเป็นที่ตั้ง 

แล้วถามตัวเองตลอดว่า เหตุผลของผมมันดีพอไหม

ที่จะทำให้เค้าอยู่ 

 

ทั้ง ๆ ที่เราต่างมีเหตุผลของตัวเอง 

 

วันที่เรารักกัน นั่นแหละเหตุผลของเราไปในทิศทางเดียวกัน 

แต่วันที่เหตุผลของการมีอยู่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว 

 

เราเองก็ควรยอมรับความจริงในเหตุผลของเค้า

มันไม่ใช่ความผิดใครเลย ผมเองก็ไม่ได้อยากพูดว่า การที่เรายังเศร้าอยู่

มันเป็นเพราะเค้า เพราะตั้งแต่เค้าเดินจากไป เค้าก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติมแล้ว

เราเองต่างหากที่ยังทำให้ตัวเองรู้สึกได้อยู่ตลอดเวลา 

 

เราต่างมีเหตุผล 

แต่ไม่ใช่ว่าเหตุผลของเราจะทำให้เค้าอยู่กับเราได้เสมอ

 

ถ้าเหตุผลของเค้าไม่ใช่เราอีกต่อไปแล้ว

เหตุผลของเรามีชีวิตอยู่ต่อ มันก็คือต้องเป็นเราจริง ๆ แล้วละ 

 

ไม่ได้พูดให้เศร้าเลยนะ 

พอผมคิดได้ ผมเทความรู้สึกออกไปได้อีกเยอะเลยนะ

คือส่วนตัวคิดว่า เออ กูเองนี่หว่าที่ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักยอมรับเหตุผลคนอื่น

ก็มันไม่ใช่แล้ว ก็ต้องไม่ใช่รึเปล่า ตีโพยตีพาย 

ยอมรับความจริงกับเหตุผลนั้นแล้วนะ 

ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่เจ็บน้อยกว่าการไม่เชื่อว่านั่นคือความจริงมากกว่า

 

 

  • การเทความรู้สึกของตัวเองหลังการเลิกรามันเป็นเกมต่อจุด

 

เราค่อยๆ ลากตัวเองจากจุด ๆ นึง ค่อยๆ ไปอีกจุดนึง 

จุดที่ไม่ได้ไกลจากจุดแรกหรอก เผลอๆ มันเหลื่อมกันด้วยซ้ำ 

 

แต่การค่อยๆ เอาตัวเองออกจากทุกอย่างที่จะทำให้เราจมอยู่บ่อน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำตากับความทรงจำ 

ก็มีแต่จะทำให้เราหมดอาลัยตายอยาก 

 

ผมว่าช่วงที่อยากที่สุดในการข้ามผ่านการถูกเท การเลิกราเนี่ย 

มันคือช่วงของการยอมรับความจริงนะ ว่าทุกอย่างมันจบ มันเกมแล้ว 

คือเรารู้แหละว่ามันจบ แต่ในใจเรามันไม่เลิกคิด ไม่เลิกเอาภาพเก่าๆ มาวนฉาย

 

ผมว่ามันเป็นขั้นตอนปกติของการสุญเสียนะ 

แต่ถ้าเราไม่หยุดที่เติมอะไรเข้าไปใหม่อย่างที่ผมเล่าไป 

ขั้นตอนนี้มันก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แบบที่ไม่ได้ไปยังขั้นถัดไปสักที 

 

คือส่วนตัวคิดว่า การอกหักอะไรแบบนี้มันน่าจะมี stage ของมันนะ 

แบบช่วงแรก ช่วงแผลสด ก็จะแสบหน่อย ร้องดังหน่อย 

ช่วงถัดมาก็ช่วงที่ร้องเบาลงแล้ว แต่ก็ยังอ่อนไหว มีอะไรมากระตุ้นจะทำให้กลับมาแบบแรกได้ 

ช่วงที่สามก็น่าจะเป็นช่วงที่เราเริ่มมีสติมากขึ้น ที่จะจับความคิดตัวเองที่มันดิ้นไปดิ้นมา เริ่มโฟกัสสิ่งอื่น

ที่ทำให้เรามีความสุขได้ หรือเริ่มที่จะสังเกตได้ว่า สอง stage ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้เรามูฟออนต่อไปได้จริง ๆ

ช่วงที่สี่ผมคิดว่าเป็นช่วงที่เราจะหันกลับมาดูแลตัวเอง

 

คือพูดแบบนี้แล้วมันเหมือนอย่างที่คนอื่นเค้าบอกๆ กันว่า เออ ต้องรักตัวเองนะ 

แต่ประโยคนี้มันพูดง่ายมากเลยนะ ผมก็พูดได้ 

คุณจะมูฟออนหรอ แกต้องรักตัวเองนะเว้ย 

 

แต่ถ้าเรายังไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกลับตัวเองจริง ๆ 

เราจะทำไม่ได้ 

 

บางทีก็ต้องถามตัวเองต่อนะว่า 

ถ้ารักตัวเอง ดูแลตัวเอง ทุ่มเทกับตัวเองได้มากเท่ากับที่ทุ่มเทให้กับเค้าคนนั้น

เราจะเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดแล้ว

 

นานแค่ไหนแล้วที่พลังความคิดที่มีหมดไปกับการทุ่มเทกับคนที่ไม่ได้รักเราแล้ว

นานแค่ไหนแล้วที่นอนไม่หลับ เพราะเรื่องราวต่าง ๆ มันวนเวียนมาทุกครั้งที่หลับตา

 

ผมไม่คิดหรอกว่าการที่คุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนในตอนนี้แล้วมันจะทำให้คุณเทความรู้สึกของตัวเองไปได้

แบบที่ไม่กลับมามูฟออนเป็นวงกลมอีก 

 

แต่การข้ามผ่านการอกหักมันคือการเล่นเกมต่อจุด 

พาตัวเองไปยังจุดต่อไป จุดไหนยืนแล้วไม่แฮปปี้ ก็ย้ายจุด 

อย่าคาดหวังว่าการทำอะไรเดิม เข้าไปดูแบบเดิม คิดแบบเดิม วนเวียนกับอะไรแบบเดิม

จะทำให้เราพบผลลัพธ์ใหม่

 

ถ้าอยากออกจากวังวนนี้ 

ก็ต้องค่อยๆ เทเอาความรู้สึกเก่าๆ ไปทิ้ง

 

ถ้ายังไม่พร้อมก็ค่อยๆ ริน 

จะได้ไม่อาฟเตอร์ช็อคมาก 

 

ขีดเส้นในหัวตัวเองทุก ๆ วัน

ว่าวันนี้ความทรงจำเก่าๆ มันลดต่ำลงไปถึงขีดไหนแล้ว 

ถ้าไม่ตักมาเพิ่ง

สักวันมันก็ต้องหมดแหละ 

ติดตามบทความใหม่ ๆ จาก เพจบันทึกนึกขึ้นได้ บน LINE TODAY ทุกวันศุกร์

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0