โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อเมริกาลุกเป็นไฟ "ทรัมป์"จุกอก จุ้นคนอื่นจนลืมบ้านตัวเอง !!

Manager Online

เผยแพร่ 31 พ.ค. 2563 เวลา 17.51 น. • MGR Online

เมืองไทย 360 องศา

เชื่อว่าเหตุการณ์จลาจลที่กำลังเกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ คงทำให้หลายคนมีความรู้สึกออกมาในหลากหลายอารมณ์ปะปนกันไป บางคนอาจ “สะใจ”ที่ได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวายในลักษณะนี้เกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาบ้าง ขณะที่อีกหลายคนมองในแบบวิเคราะห์สถานการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่ “ซ้อนอยู่”ภายในสังคมอเมริกัน รวมไปถึงได้เห็นธาตุแท้ของพวกองค์กรด้าน“สิทธิมนุษยชนสากล”ทั้งหลาย ที่มักมีท่าทีกดดันเอากับประเทศต่างๆ ที่ถูกมองว่ามีการหวังผลทางการเมืองบางอย่างแอบแฝง โดยเปรียบเทียบท่าทีจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงในประเทศสหรัฐอเมริกาในเวลานี้

เหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของชาวอเมริกันที่ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเหตุจลาจลวุ่นวายในหลายเมืองเวลานี้ เกิดขึ้นจากสาเหตุที่มีตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดคอ “จอร์จ ฟลอยด์”ซึ่งเป็นอเมริกันผิวสี เนื่องจากต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตรปลอม โดยเขาถูกตำรวจใช้เข่ากดที่บริเวณลำคอนานประมาณ 8 นาที จนเสียชีวิต และระหว่างเกิดเหตุมีผู้ถ่ายคลิปไว้ได้ และเมื่อคลิปดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ก็ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับคนผิวดำทั่วสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงคนผิวขาวที่รับไม่ได้กับการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และเป็นการละเมิดสิทธิ์ รวมไปถึงการ “เลือกปฏิบัติ”กับคนผิวสี หรือคนผิวสีอื่นๆ ที่เรียกว่า“คลั่งผิวขาว”

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองมินนิแอนาโปลิส รัฐมินเนโซตา เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุจลาจลลุกลามออกไปหลายเมืองทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่า 25 เมือง เป็นการชุมนุมประท้วง“ทวงความยุติธรรม”ให้กับ จอร์จ ฟลอยด์ ความวุ่นวายที่เกิดจากการ“เผา”เกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ในกรุงวอชิงตัน เมืองหลวง รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ใกล้กับ “ทำเนียบขาว”ที่ทำงานของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาเพียงแค่หนึ่งช่วงตึกเท่านั้น

เหตุการณ์ลุกลามบานปลายส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวิตข้อความในแบบยุยงสงส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่จัดการ“ขั้นเด็ดขาด”กับผู้ประท้วงที่ก่อความวุ่นวาย โดยบอกว่า “ให้ยิงได้ทันที”ก็ยิ่งโหมกระพือความไม่พอใจ ทำให้เวลานี้มีคนอเมริกันออกมาชุมนุมประท้วงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าสนใจก็คือ มีคนผิวขาวไม่น้อยที่ออกมาร่วมด้วย แม้แต่คนดัง เช่น “เทย์เลอร์ สวิฟต์”นักร้องนักแสดงคนดัง ยังออกมาเรียกร้องให้มีการโหวตไล่ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าพิจารณาในกรณีของสหรัฐเมริกาและของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่หลายคนกำลังมองด้วยความ “สะใจ”ก็คือ “ชอบจุ้นเรื่องของชาวบ้าน”โดยไม่มองว่าบ้านของตัวเองก็เต็มไปด้วยปัญหาไม่ได้ต่างกัน หรืออาจจะมากกว่าบ้านเมืองอื่นก็ได้ เหมือนอย่างที่เวลานี้กำลังเข้าไปวุ่นวาย แทรกแซงปัญหาในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ที่หนุนหลังการชุมนุมประท้วงที่นั่น โดยมีเป้าหมายที่ถูกมองว่าเพื่อต้องการ“เล่นงานจีน”ที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงในฮ่องกง

ป้องกันการแยกดินแดน และการลงโทษผู้ที่ต่อต้านจีน เป็นต้น โดยสหรัฐฯ มักจะอ้างเรื่องของการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อลงโทษอีกประเทศหนึ่ง

กรณีของฮ่องกงนั้นสหรัฐฯ โดยรัฐบาลของทรัมป์ ได้ยกเลิกการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับเขตพิเศษดังกล่าว และอาจตามมาด้วยการแซงชั่น บริษัท และผู้บริหารจากจีนและฮ่องกงตามมา หลังจากสภาประชาชนของจีนได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงดังกล่าว ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะต้องถูกทางการจีนตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะกรณีของจีนที่เป็นมหาอำนาจโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจก็ย่อมต้องสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของสหรัฐฯได้ไม่น้อยเหมือนกัน

อีกด้านหนึ่ง หากพิจารณากันในแง่ของความเหลื่อมล้ำ การละเมิดสิทธิ์ของคนผิวสี ไม่ว่าจะเป็นผิวดำ ผิวเหลือง หรือกลุ่มเชื้อชาติในลาตินอเมริกา ก็ถูกมองว่าไม่ต่างจากการเป็นพลเมืองชั้นสอง ชั้นสาม ที่ถูกดูหมิ่น ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากทัศนคติดังกล่าวของคนผิวขาวบางกลุ่มที่มีความเชื่อว่าตัวเอง “เหนือกว่า” ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เวลานี้ทำให้สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก

ส่วนสำคัญก็มาจากความเชื่อแบบดันทุรัง “ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย”เนื่องจากที่ผ่านมาพวกเขาเชื่อว่าคนที่สวมหน้ากาก ต้องเป็นคนป่วยเท่านั้น เหมือนกับการที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำร้าย และดูถูกคนเอเชียที่สวมหน้ากากป้องกันเชื้อโรคว่าเป็น “คนประหลาด” เป็นต้น

นอกเหนือจากนี้ ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือ การปฏิบัติด้วยความรุนแรงและเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับคนผิวสีในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องแทบจะไม่เคยเห็นการออกมาเคลื่อนไหวประนามของบรรดา “องค์กรสิทธิมนุษยชน”ทั้งหลายในตะวันตกออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลในประเทศตะวันตกเหล่านี้ ผิดกับเหตุการณ์ที่หากเกิดขึ้นในประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ตรงข้าม รวมทั้งประเทศโลกที่สามต่างๆ ก็จะถูกประณาม และเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกบอยคอต หรือลงโทษทางเศรษฐกิจทันที

ดังนั้นหากมองว่าเหตุการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯที่มาจากการ “เหยียดผิว”และเลือปฏิบัติต่อคนผิวสี เป็น“เรื่องภายใน”ก็อ้างได้ เหมือนกับที่จีนยืนยันจากกรณีฮ่องกง แต่กรณีดังกล่าวได้ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงกับจุกอก เพราะหากจีนเรียกร้องว่า “หยุดฆ่า” หยุดทำร้ายคนผิวดำและที่สำคัญหากมีการเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯหยุดละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้างคงสนุกพิลึก !!

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0