โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

อีไอซีฟันธง 5G ไทย ค่ายมือถืองัดกลยุทธ์ราคาดึงใจลูกค้า

The Bangkok Insight

อัพเดต 09 เม.ย. 2563 เวลา 02.32 น. • เผยแพร่ 09 เม.ย. 2563 เวลา 02.32 น. • The Bangkok Insight
อีไอซีฟันธง 5G ไทย ค่ายมือถืองัดกลยุทธ์ราคาดึงใจลูกค้า

หลังจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดสรรคลื่นความถี่ 700MHz ซึ่งถือเป็นคลื่นความถี่ชุดแรกที่กำหนดไว้สำหรับพัฒนาเทคโนโลยี 5G ให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Network Operator: MNO) 3 รายหลัก ได้แก่ เอไอเอส, ทรู และ ดีแทค ในช่วงกลางปี 2562 ตามเงื่อนไขการขอยืดเวลาชำระค่าประมูลคลื่น 900MHz ไปแล้ว

ต่อมาก็ตามด้วยการประมูลคลื่นความถี่ชุดที่ 2 ประกอบด้วยคลื่นความถี่ 700MHz, 1800MHz, 2600MHz และคลื่น 26GHz  โดยมี MNO หลักทั้ง 3 รายรวมถึงรัฐวิสาหกิจอย่าง บมจ. กสท. โทรคมนาคม จำกัด (CAT) และ บมจ. ทีโอที (TOT) ที่อยู่ระหว่างกระบวนการควบรวมเป็นบริษัทเดียวกันภายใต้ชื่อ "บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ" เข้าร่วมการประมูลความถี่ในครั้งนี้ โดย เอไอเอส ได้รับทั้งหมด 23 ใบอนุญาตจากคลื่น 700MHz, 2600MHz และ 26GHz ส่วน ทรู ได้รับทั้งหมด 17 ใบอนุญาตจากคลื่น 2600MHz และ 26GHz และ ดีแทคได้รับทั้งหมด 2 ใบอนุญาตจากคลื่น 26GHz ขณะที่ CAT และ TOT ได้รับคลื่นความถี่รวมกันทั้งหมด 6 ใบอนุญาตจากคลื่น 700MHz และ 26GHz

ทั้งนี้กระบวนการเรียกคืนคลื่นความถี่ถือเป็นอีกประเด็นที่ต้องจับตามองต่อไป เนื่องจากแผนการปรับปรุงการใช้คลื่นความถี่ ของ กสทช. มีเพียงคลื่น 2600MHz และ 26GHz ที่สามารถให้บริการ 5G ได้ในเดือนมีนาคม 2563 ขณะที่คลื่น 700MHz ยังอยู่ระหว่างกระบวนการเรียกคืนจากกิจการโทรทัศน์ (ทีวีดิจิทัล) ที่จะเริ่มใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2563 และกิจการไมโครโฟน ประเภทไมโครโฟนไร้สาย ซึ่งคาดว่าจะสามารถใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2564

แม้ว่าวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง แต่ MNO ของไทยยังคงเดินหน้าขยายโครงข่ายโทรคมนาคม 4G/5G จากคลื่นความถี่ที่ได้รับจัดสรรมาอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการทำงานที่บ้านและการเรียนแบบออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในช่วงวิกฤตนี้

ปัจจุบัน MNO ของไทยถือครองคลื่นความถี่ครอบคลุมทุกย่านความถี่ตามข้อกำหนดของ ITU และมีปริมาณคลื่นความถี่เพียงพอต่อการเปิดให้บริการเทคโนโลยี 5G เชิงพาณิชย์ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ได้ออกแผนความถี่วิทยุ กิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล (IMT) สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G โดยกำหนดให้ MNO แต่ละรายต้องถือครองคลื่นความถี่ให้ครอบคลุมทั้งคลื่นความถี่ย่านต่ำกว่า 1GHz (Low Band), คลื่นความถี่ย่านกลางระหว่าง 1GHz – 6GHz (Mid Band) และคลื่นความถี่ย่านสูงกว่า 6GHz (High Band)

อย่างไรก็ดี การลงทุนโครงข่ายโทรคมนาคมพื้นฐาน ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานจากความแตกต่างของย่านความถี่และปริมาณคลื่นความถี่ที่ MNO แต่ละรายถือครองในการพัฒนาโครงข่าย 5G ด้วยความแตกต่างทางคุณสมบัติของแต่ละย่านคลื่นความถี่ โดยคลื่นความถี่ย่านต่ำมีคุณสมบัติในการส่งสัญญาณได้ไกลและครอบคลุมพื้นที่ได้ดีกว่าคลื่นความถี่ย่านกลางและย่านสูงส่งผลให้การติดตั้งสถานีฐานเครือข่ายที่รองรับสัญญาณคลื่นความถี่ย่านกลางและย่านสูงจึงมีจำนวนมากกว่าสถานีฐานที่รองรับสัญญาณคลื่นความถี่ย่านต่ำ

จากข้อมูลของ กสทช. EIC พบว่าในปี 2562 สถานีฐานของคลื่นความถี่ 2100MHz ซึ่งเป็นคลื่นย่านกลางมีจำนวนรวมกว่า 80,000 สถานีซึ่งสูงกว่าคลื่นความถี่ย่านต่ำอย่าง 900MHz ถึง 2 เท่าที่มีสถานีฐานรวมอยู่ราว 38,000 สถานี ในส่วนการติดตั้งสถานีฐานของคลื่นความถี่ย่านสูง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของเกาหลีใต้ประเมินว่า จำนวนสถานีฐานเพื่อรองรับการใช้งาน 5G บนคลื่นความถี่ 28GHz ทั้งในรูปแบบของเสาโทรคมนาคม (macro cell) และจุดรับส่งสัญญาณ (small cell) จะมีมากกว่า 1 แสนจุดทั่วประเทศ

นอกจากนี้ การขยายความครอบคลุมของสถานีฐานให้มากขึ้นสามารถช่วยให้ MNO ที่ถือครองคลื่นความถี่ในปริมาณที่ต่ำกว่าเกณฑ์ของ 3GPP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน 5G ได้ โดยทางสมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก (GSMA) ระบุว่า MNO ที่ถือครองคลื่นความถี่ย่านกลางจำนวน 60MHz ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ของ 3GPP ต้องติดตั้งจำนวนสถานีฐานสูงกว่า MNO ที่ถือครองคลื่นในปริมาณ 100MHz ตามเกณฑ์ราว 65% ถึงจะมีประสิทธิภาพในการให้บริการใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจเป็นโอกาสของ MNO ที่ถือครองคลื่นความถี่ต่ำกว่าเกณฑ์ของ 3GPP จะลงทุนเพิ่มสถานีฐานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ 5G ให้ทัดเทียมกับ MNO ที่ถือครองคืนความถี่ตามเกณฑ์ของ 3GPP ได้

ขณะที่การติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารบนสถานีฐานที่มีอยู่กว่า 1.5 แสนสถานีทั้งระบบและการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมพื้นฐานร่วมกันระหว่าง MNO สามารถลดภาระการลงทุนและลดระยะเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G สำหรับคลื่นความถี่ที่ได้รับการจัดสรรใหม่ในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในระยะแรกอย่างคลื่นความถี่ 700MHz และ 2600MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ย่านต่ำและย่านกลาง คาดว่าจะถูกนำมาใช้งานร่วมกับคลื่นความถี่ 900MHz, 1800MHz และ 2100MHz ที่ให้บริการ 4G LTE อยู่ขณะนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน 5G โดยการติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารใหม่หรืออัปเกรดอุปกรณ์สื่อสารเดิมบนสถานีฐานที่มีอยู่ทั้งระบบกว่า 154,000 สถานีในปัจจุบัน

สำหรับคลื่นความถี่ 26GHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ย่านสูงชุดแรกที่นำออกมาจัดสรรนั้นถือเป็นคลื่นความถี่ที่จะส่งผลต่อแผนการลงทุนโครงข่ายของ MNO อย่างมาก จากคุณสมบัติที่มีความคมชัดสูงแต่ขอบเขตพื้นที่ครอบคลุมสัญญาณที่จำกัดจึงจำเป็นต้องติดตั้งโครงข่ายสถานีฐานจำนวนมาก อีกทั้งอุปกรณ์ที่รองรับเพิ่งเริ่มออกสู่ตลาดและยังมีราคาค่อนข้างสูง

ในช่วงเริ่มต้นของการเปิดใช้เทคโนโลยี 5G เชิงพาณิชย์ EIC ประเมินว่าการแข่งขันในด้านการนำเสนอแพ็กเกจการให้บริการจะยังคงเข้มข้นต่อเนื่อง ขณะที่การแข่งขันด้านราคามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้บริการหันมาใช้ระบบ 5G การนำเสนอการให้บริการในไทยคาดว่าจะมีรูปแบบการให้บริการใกล้เคียงกับ MNO ในประเทศที่เปิดให้บริการ 5G แล้ว อย่างสหรัฐฯ จีน และเกาหลีใต้

ที่สำคัญคือ การสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งด้วยแพ็กเกจบริการใหม่รองรับคอนเทนท์เพื่อการบันเทิงจะเริ่มทะยอยออกมาให้เห็นมากยิ่งขึ้น เช่น แพ็กเกจรับชมการถ่ายทอดสดคอนเสิร์ตหรือกีฬาที่มีความคมชัดสูง (streaming UHD), แพ็กเกจพิเศษสำหรับเล่นเกมผ่านระบบคลาวด์ (cloud gaming), แอปพลิเคชันการจำลองภาพเสมือนจริง (virtual reality/augmented reality content) เป็นต้น

ส่วนการกำหนดอัตราค่าบริการ 5G ในระยะเริ่มต้นมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าบริการในระบบ 4G เมื่อพิจารณาราคาต่อกิกะไบต์ ซึ่งคาดว่า MNO แต่ละรายจะงัดกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเดิมในระบบ 4G เข้ามาในระบบ 5G มากขึ้นจากการเพิ่มบริการเสริมพ่วงบริการ 5G ให้ผู้ใช้บริการแพ็กเกจ 4G ปัจจุบันได้ทดลองใช้งานฟรี หรือเปลี่ยนจากระบบเติมเงินมาเป็นระบบรายเดือน รวมถึงดึงดูดผู้ใช้บริการใหม่ตัดสินใจย้ายค่ายง่ายขึ้น

ท้ายสุดผู้บริโภคจะได้รับอานิสงส์จากการได้รับบริการที่หลากหลายในราคาที่เข้าถึงได้ ตัวอย่างเช่น อัตราค่าบริการ 5G ในเกาหลีใต้ที่เริ่มต้นราว 1,615 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าบริการรายเดือนในระบบ 4G ปัจจุบันราว 5% จากการกำหนดอัตราค่าบริการที่ไม่สูงมากส่งผลให้ผู้ใช้บริการในระบบ 5G ในเกาหลีใต้มีมากกว่า 2 ล้านเลขหมายใน 7 เดือนหลังจากเปิดให้บริการ 5G ในเดือนเมษายน 2019 หรือประมาณ 3% ของจำนวนเลขหมายทั้งหมดส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อหมายเลขต่อเดือน (ARPU) เพิ่มสูงขึ้นราว 2% และคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการในระบบ 5G จะแตะ 7 ล้านเลขหมาย หรือราว 10% ของจำนวนเลขหมายทั้งหมดภายในสิ้นปี 2563

นอกจากนี้ EIC มองว่า ความพร้อมของโครงสร้างโทรคมนาคมพื้นฐานและการนำเสนอการให้บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการจะช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาเทคโนโลยี 5G เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต หลังจากเทคโนโลยี 5G เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ การใช้งานด้านข้อมูลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง พื้นที่อีอีซี และพื้นที่อยู่ระหว่างการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการรองรับการรับ-ส่งข้อมูล

ดังนั้น ความพร้อมด้านโครงสร้างโทรคมนาคมพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นการขยายโครงข่ายโทรคมนาคม การเพิ่มสถานีฐาน และอุปกรณ์รับสัญญาณจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อประสิทธิภาพการให้บริการทั้งในด้านความเร็วในการ download/upload ข้อมูลและความเสถียรในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนำมาสู่ความต้องการคลื่นความถี่ที่เพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ กสทช. มีแผนการจัดสรรคลื่นความถี่ย่านกลาง 3.4GHz – 3.7GHz หรือย่าน c-band ในช่วงปี 2564 ซึ่งปัจจุบันยังติดสัมปทานดาวเทียมไทยคมและกิจการไมโครโฟนไร้สายที่จะสิ้นสุดสัมปทานในช่วงปลายปี 2564 นอกจากนี้ การนำเสนอการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้ข้อมูลอย่างแท้จริงทั้งในส่วนของผู้ใช้บริการผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ใช้บริการในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการนำเสนอการให้บริการที่สอดคล้องกับบริบทของการพัฒนาประเทศถือเป็นอีกหนึ่งกลไกในการผลักดันให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0