ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก และส่งผลต่อคนทำงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้าง ปิดกิจการ หรือว่าให้ออกจากงานด้วยความจำเป็น
เมื่อชีวิตต้องออกจากงานแบบไม่ทันคาดคิด อาจจะมีคำถามตามมาติดๆ มาว่า แล้วกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ที่มีอยู่ จะทำยังไงดี ? เอาเงินออกมาใช้เลยดีไหม หรือว่าจะบริหารจัดการต่อไปให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามาฟังคำตอบกันครับ
ประเด็นของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับการเสียภาษี
สำหรับคนที่ตัดสินใจนำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมา ต้องเจอกับปัญหาในเรื่องของภาษี อาจจะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนมากเพราะต้องนำมารวมกับเงินเดือนทั้งก้อน (กรณีทำงานไม่ถึง 5 ปี) หรือเสียภาษีลดลงหน่อยเพราะสามารถแยกคำนวณภาษีออกมาต่างหากได้ (กรณีทำงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)
ถ้าไม่อยากเสียภาษีจาก PVD ต้องทำอย่างไร? วางแผนแบบไหน?
สำหรับคนที่คิดว่าจะไม่นำเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพออกมาเนื่องจากต้องการเก็บเงินก้อนนี้ให้ทำงานสร้างผลตอบแทนต่อรอวันเกษียณ และมองว่าตัวเองมีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอและยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินส่วนนี้ มีหนทางที่จะทำให้เราไม่เสียภาษีอยู่ 3 วิธีครับ
ย้ายไปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของที่ทำงานใหม่ โดยทางเลือกนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อที่ทำงานใหม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรองรับ
ขอคงเงินไว้ที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเดิมก่อน เนื่องจากสถานการณ์แบบนี้บีบบังคับให้หางานใหม่ลำบาก หรืออาจจะต้องเป็นฟรีแลนซ์ รวมถึงที่ทำงานบางทีก็อาจจะไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือ
ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการคงเงินปีละ 500 บาท
เงื่อนไขของกองทุนนั้นเปิดให้คงเงินได้กี่ปี
เปิดให้เปลี่ยนนโยบายลงทุนได้หรือไม่ กรณีเปิดให้เปลี่ยนได้ นโยบายลงทุนมีทางเลือกหลากหลายแค่ไหน
ถ้านายจ้างปิดกิจการ จะไม่สามารถคงเงินได้
ย้ายไป RMF for PVD คือการโอนเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เรามี ไปลงทุนต่อในกองทุน RMF ของ บลจ.แห่งใดแห่งหนึ่งที่รองรับเงินโอนจาก PVD ซึ่งตรงนี้จะมีข้อดีตรงที่
แผนเกษียณ ไม่ล่มกลางคัน
สามารถนับอายุสมาชิกต่อเนื่องจาก PVD เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี
สามารถเลือกลงทุนในกองทุนที่ต้องการ ตามนโยบายของแต่ละ บลจ. ที่มีกองทุนประเภทต่างๆให้เลือกมากมาย
ไม่จำเป็นต้องซื้อ RMF ต่อเนื่อง เพราะเป็นการสับเปลี่ยนมาจาก PVD โดยสามารถขายได้ตอนอายุครบ 55 ปี เหมือนกับ RMF หรือ PVD ปกติ
ที่สำคัญยังไม่ต้องเสียภาษี ณ วันที่เราโอนเงินไป RMF for PVD อีกด้วย แต่ในกรณีที่เอาเงินออกจากกองทุนก่อนที่จะอายุ 55 ปี อัตราภาษีที่ต้องเสีย ขึ้นอยู่กับ “อายุงาน” ก่อนวันที่เราจะโอนเงิน PVD ไป RMF for PVD สำหรับกรณีทำงานไม่ถึง 5 ปีต้องนำมารวมกับรายได้ทั้งปีเพื่อคำนวณภาษี หรือกรณีทำงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ได้สิทธิแยกคำนวณภาษีออกมาต่างหาก ทำให้เสียภาษีลดลง
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณภาษีกันนะครับนาย ก และนาย ข ได้เงินจากกองทุนเท่ากันแต่มีอายุงานต่างกันดังนี้
ตัวอย่างที่ 1 นาย ก มีรายได้ทั้งปี 500,000 บาท ถูกเลิกจ้างโดยมีเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1,600,000 บาท (แบ่งเป็นเงินสะสม 700,000 บาท เงินสมทบและผลประโยชน์ 900,000 บาท) มีอายุงาน 18 ปี
นาย ก สามารถคำนวณภาษี โดยนำส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์จำนวน 900,000 บาท แยกออกมาคำนวณต่างหากจากเงินเดือนที่ต้องเสียภาษี ซึ่งการแยกคำนวณแบบนี้จะมีผลให้ส่วนของเงินสมทบต้องเสียภาษีจำนวน 23,700 บาท
โดยในส่วนของเงินเดือน 500,000 บาท ถ้าหากลองคำนวณคร่าวๆโดยหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียวจำนวน 160,000 บาท (โดยไม่มีค่าลดหย่อนอื่น) นาย ก จะต้องเสียภาษีจำนวน 11,500 บาท เมื่อรวมกับส่วนที่แยกคำนวณจะเสียภาษีทั้งสิ้น 35,200 บาท
ตัวอย่างที่ 2 นาย ข มีรายได้ทั้งปี 500,000 บาท ถูกเลิกจ้างโดยมีเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1,600,000 บาท (แบ่งเป็นเงินสะสม 700,000 บาท เงินสมทบและประโยชน์ 900,000 บาท) มีอายุงาน 4 ปี
กรณีนี้ นาย ข ต้องนำส่วนเงินสมทบและผลประโยชน์จำนวน 900,000 บาทไปรวมกับรายได้ทั้งปีเพื่อคำนวณภาษี ซึ่งมีผลให้รายได้ของนาย ข ที่ต้องเสียภาษีกลายเป็น 1,400,000 บาท และถ้าเราลองคำนวณคร่าวๆโดยหักเพียงค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียวจำนวน 160,000 บาท (โดยไม่มีค่าลดหย่อนอื่นเพิ่มเติม) นาย ข จะต้องเสียภาษีทั้งสิ้นจำนวน 175,000 บาท
ดังนั้น แม้จะมีเงินได้เท่ากันแต่อายุงานต่างกัน ก็เสียภาษีต่างกันแล้ว แต่ถ้าทั้งคู่เลือกทางเลือกที่ 3 ก็สามารถชะลอการเสียภาษีไปได้ นอกจากนี้ถ้าลงทุนใน RMF for PVD จนอายุ 55 ปีและเป็นสมาชิกกองทุนตั้งแต่ 5 ปี (สามารถนับอายุสมาชิกต่อเนื่องจาก PVD ได้แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด) ก็ไม่ต้องเสียภาษีสักบาทเลย
จะเห็นว่าทางเลือกที่ 3 เหมาะกับใครหลายคนมากกว่าทางเลือกที่ 1และ 2 (โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เป็นภาวะวิกฤต) เพราะมีความยืดหยุ่นและสะดวกมากกว่าในหลายด้านครับ
RMF for PVD ของ บลจ. กรุงศรี รองรับเงินโอนจาก PVD มากถึง 24 กองทุน
ขออนุญาตขายกันตรงๆแบบนี้ละกันครับ สำหรับใครที่สนใจโอนย้ายเงินจาก PVD มายังกองทุน RMF ทาง บลจ.กรุงศรี ก็มีทางเลือกหลากหลายให้เลือกลงทุนมากถึง 24 กองทุน ตั้งแต่ตราสารตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำไปจนถึงหุ้นต่างประเทศ หุ้นเฉพาะกลุ่ม หรือสินทรัพย์ทางเลือก โดยเราสามารถจัดสัดส่วนการลงทุนและบริหารพอร์ตได้ด้วยตัวเองผ่านระบบออนไลน์ จะสับเปลี่ยนกองทุนแบบไหนก็ได้ตามใจเราเลยครับผม
อ้อ ทาง บลจ.กรุงศรี เขาฝากแนะนำ RMF for PVD กองทุนเด่นๆ มาให้ด้วยนะครับ ซึ่งได้แก่
KFAFIXRMF ลงทุนตราสารหนี้ระยะกลาง – ยาว เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือใกล้เกษียณเน้นความมั่นคงมากกว่าโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูง
3 ดี RMF กองทุนผสมหลากหลายสินทรัพย์ ลงทุนครบทั้งในตราสารหนี้ หุ้น REITs กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มี 3 กองทุนให้เลือกคือ KFHAPPYRMF KFGOODRMF และ KFSUPERRMF ต่างกันตรงสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนเลือกได้เหมาะกับความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ข้อดีคือไม่ต้องคอยตามสถานการณ์และปรับพอร์ตเอง ผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนการลงทุนของแต่ละสินทรัพย์ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
KFS100RMF ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ของไทย มีโอกาสเติบโตระยะยาวไปพร้อมกับดัชนีSET100
KFGBRANRMF ลงทุนในกองทุนต่างประเทศ Morgan Stanley Investment Funds - Global Brands Fund ซึ่งจะเน้นลงทุนหุ้นบริษัทเจ้าของแบรนด์ดัง มีความแข็งแกร่งของยอดขายที่ทนทานต่อวัฎจักรเศรษฐกิจ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ลูกค้ายังคงต้องซื้อต้องใช้แม้ในยามเศรษฐกิจชะลอตัว
สามารถตามไปอ่านรายละเอียดกองทุน RMF ที่แนะนำทั้งหมดได้ที่ https://www.krungsriasset.com/TH/Plan-your-investment/Learn-about-Investment/RMF-for-PVD-investment.html
ข้อมูลเพิ่มเติมและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ เงินโอนจาก PVD มาสู่ RMF https://www.krungsriasset.com/TH/News/Promotion/RMFPVD2020_TH.html
หวังว่าจะได้คำตอบดีๆในการจัดการการเงินในวิกฤตช่วงนี้กันนะครับ ซึ่งในจุดนี้ ถ้าใครบริหารจัดการเงินตัวเองได้ดี มีสภาพคล่อง ย่อมเห็นโอกาสมากกว่าแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าเราจะต้องเปลี่ยนงานหรือออกจากงานด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ถ้าเรามีทางเลือกในการจัดการการเงินที่ดี ผมเชื่อว่าเราไปต่อได้อย่างแน่นอนครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับผมมม
บทความนี้เป็น Advertorial