โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อย่าให้ Burn out เอาชีวิตเราไป - หมอเอิ้น พิยะดา

THINK TODAY

เผยแพร่ 14 ส.ค. 2562 เวลา 09.36 น.

ก่อนหน้านี้หมอเคยเขียนเรื่องความแตกต่างระหว่างภาวะ Burn Out กับซึมเศร้าไปแล้ว

หลังจากนั้นก็มีหลายคนเข้ามาขอคำปรึกษาเพราะเริ่มจะรู้ตัวว่า ภาวะ Burn Out กำลังค่อยๆกลืนกินอารมณ์และความคิดจนถึงจุดที่รู้สึกกลัวว่าตัวเองจะป่วยหรือกำลังจะป่วย มองในอีกมุมก็ถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่เราได้กลับมารู้จักสังเกตตัวเองอย่างแท้จริง และอยากจะดูแลตัวเองเบื้องต้นก่อนที่คำว่าโรคซึมเศร้าจะเข้ามาแทนที่

ครั้งนี้จึงขอแนะนำจุดสังเกตของภาวะ Burn Out และการดูแลตัวเองเบื้องต้น

สังเกตุโดยลองตอบคำถามเหล่านี้ดูนะคะ

ลืมตาตื่นมาตอนเช้า คุณเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากลุกจากที่นอนเพราะไม่อยากจะออกไปทำงาน"รึป่าว"?

เวลาทำงาน คุณเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างช่างน่าหงุดหงิดหรือเบื่อหน่ายไปหมด"รึป่าว" ทั้งที่ผู้คนและงานก็เหมือนเดิม?

คุณเริ่มจะหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างในงานอย่างที่ไม่เคยเป็น"รึป่าว"?

คุณมีความคิดว่าถ้าเอางานออกไปจากชีวิต คุณจะเป็นคนที่มีความสุขขึ้นในทันที"รึป่าว"?

แต่ปัญหาคือยังมีความจำเป็นต้องทนทำงานนั้น

คุณเริ่มรู้สึกว่าร่างกายคุณอ่อนแอลง แต่ยังต้องฝืนต่อไปเพื่อทำงาน"รึป่าว"?

คุณเริ่มนับถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานเร็วๆอยู่"รึป่าว"? ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีความสนุกกับงาน

คุณเริ่มรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ไม่ได้ทำให้คุณใช้ศักยภาพที่ตัวเองมี จนเริ่มรู้สึกว่าคุณค่าของตัวคุณลดลง"รึป่าว"?

แค่คิดถึงเรื่องงาน ไม่ว่าคุณจะกำลังอยู่กับใครเวลาไหน คุณก็พร้อมที่จะเครียดได้ตลอดเวลา"รึป่าว"?

 ถ้าตอบว่าใช่ในทุกข้อ ก็บอกได้ว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะ Burn out แล้ว

แล้วเราควรดูแลตัวเองอย่างไร? คนที่กำลังอยู่ในภาวะนี้ส่วนมากจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหนูที่วิ่งอยู่ในกงล้อ

ยิ่งเหนื่อยยิ่งวิ่ง หยุดวิ่งก็ไม่ได้เพราะกลัวชีวิตจะยิ่งแย่ แต่หารู้ไม่ว่าถ้าไม่หยุดวิ่งชีวิตจะยิ่งแย่

ดังนั้นสิ่งที่คนรู้ตัวว่าตัวเองกำลัง Bourn out ควรทำคือ

1. หยุด : เพื่อทบทวบอย่างตั้งใจว่า สาเหตุของการ Bourn out คืออะไรกันแน่ เพราะภาวะนี้ส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสาเหตุอาจจะไม่ใช่รากของสาเหตุที่แท้จริง เช่น เรารู้สึกว่างานล้นเกินกว่าจะทำไหว

เลยทำให้ Burn out แต่ความจริงถ้าเป็นงานที่ถนัดและชอบต่อให้เยอะแค่ไหนก็ไม่รู้สึกแบบนี้

รากคือฝืนทนทำงานที่เราไม่ถนัดไม่ใช่ปริมาณงาน เป็นต้น การเข้าใจรากของปัญหาจะทำให้เราเห็นหนทางแก้ปัญหา

2. Remindset : นึกถึงวันแรกที่เราเข้ามาทำงาน เราเข้ามาทำงานนี้เพราะอะไร? คำตอบเราอาจหลากหลาย เช่น เพราะจำเป็น (จำเป็นอย่างไร?) , เพราะเงินดี ( ตอนนี้ดีอยู่ไหม?) เพราะเอาใจพ่อแม่(พ่อแม่เคยชื่นชมไหม?)

เพราะเป็นงานที่ชอบ ( ยังชอบอยู่ไหม?), เพราะสังคมการทำงานดี (ยังดีอยู่ไหม?) เป็นต้น การกลับมาที่จุดเริ่มต้นว่าเพราะอะไรเราถึงทำงานนี้ จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำอีกครั้ง ถ้าคำตอบคือทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ก็ลองปรับทิศนคติต่องานที่ทำใหม่ให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้ในปัจจุบัน

3.ผ่อนคลาย : เราอาจจะต้องรับรู้ว่า ในภาวะเครียดนั้นไม่ว่าเรารับรู้อะไรก็จะง่ายต่อการตีความเป็นด้านลบไปหมดการอยู่ในภาวะ Bourn out ถือเป็นภาวะยากลำบากของชีวิต เราอาจจะมาถึงจุดที่ต้องคิดหรือตัดสินใจครั้งสำสัญ ดังนั้น

เราควรสร้างการผ่อนคลายให้ร่างกายและจิตใจโดยเร็วที่สุด เพื่อการตัดสินใจหรือใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป การผ่อนคลายที่ทำได้ทันทีคือ การออกกำลังกาย ( การเสียเหงื่อจะทำให้สารแห่งความสุขที่สมองหลั่ง)

นอนให้เพียงพอ ( เพื่อให้สมองไม่อ่อนล้า) ออกเดินทางท่องเที่ยวหรือไปในที่ๆเราสบายใจหรือมีความผูกพัน (เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและเห็นความหลากหลาย) ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบทำสมัยเด็กๆอีกครั้ง ( เพื่อสัมผัสพลังความสดใสเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง) เป็นต้น

4.หลีกเลี่ยงการรับสิ่งที่เป็นมลพิษทางความคิดเข้ามาในชีวิต : เช่น ไม่เสพข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่อยู่ใกล้คนที่กล่าวโทษทุกอย่างในชีวิตยกเว้นตัวเอง เป็นต้น

*5.เรียนรู้ทักษะใหม่ๆที่ไม่เคยรู้แต่อาจใช้ประโยชน์กับงานได้ : * เช่น เราเคยทำงานเป็นผู้ปฏิบัติงานมาตลอด วันนึงได้เลื่อนเป็นหัวหน้าทีมอาจต้องหาโอกาสไปเรียนรู้เรื่องการเป็นผู้นำ หรือเราทำงานเป็นผู้ประสานงานมาหลายปี ถ้าเรามีทักษะการพูดกับลูกค้าหรือการพรีเซ้นงานอาจทำให้เราได้ขยับทำงานขายซึ่งได้ค่าตอบแทนมากขึ้น เป็นต้น

6. สื่อสาร : การเล่าสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจกับคนที่พร้อมจะรับฟัง หรือหากไม่รู้จะคุยกับใครการเขียนถึงสิ่งที่เราไม่สบายใจจะช่วยให้เราได้เรียบเรียงความคิดและระบายความรู้สึกได้ดีขึ้น

7. หาโอกาสเป็นผู้ให้ : ออกไปทำกิจกรรมที่เรารู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ความรู้สึกถึงการเป็นผู้ให้อาจช่วยให้ความมั่นใจในคุณค่าของตัวเองกลับมาง่ายขึ้น

เราห้ามภาวะ Burn out ไม่ให้เกิดกับชีวิตเราไม่ได้ แต่เราไม่ยอมให้ภาวะ Bourn out เอาชีวิตเราไปได้

ด้วยการมองมันเป็นสัญญานของการกลับมาเรียนรู้และดูแลตัวเอง มองว่ามันเป็นแค่สภาวะที่ผ่านมาแล้วสักวันจะผ่านไป มองว่าภาวะนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณค่าในตัวเรา แล้วการจะเปลี่ยนงานหรือไม่ก็เป็นแค่ทางเลือกของชีวิตไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ ขอเป็นกำลังใจให้คนที่กำลัง Boun out ทุกคนเพราะคนเขียนก็เพิ่งผ่านมาเช่นกัน

https://youtu.be/TGEeeCbkfgo  

*เพลงยังอยากรู้ ( Original version) *

www.earnpiyada.com 

----------------------------------------------------------------------------

Page FB หมอเอิ้นพิยะดา Unlocking Happiness 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10156783544953550&id=306538978549

----------------------------------------------------------------------------

IG : https://www.instagram.com/earnpiyada/

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0