เรื่อง : ขนิษฐา สาสะกุล iPrice
ตั้งแต่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สมาคมอาเซียน คนไทยก็เริ่มสอดส่องหางานบริษัทต่างชาติมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการเขียนเรซูเม่ดี ๆ เตะตาHR ดูจะเป็นกำแพงขั้นแรกที่บุคคลเหล่านี้ต้องพยายามฟันฝ่าไปให้ได้ซะก่อน
แต่เพราะคนไทยยังติดการเขียนเรซูเม่ที่มีเนื้อหาเหมือนโปรไฟล์หรือPortfolio ซะส่วนใหญ่ ทำให้แม้บางครั้งประสบการณ์ทำงานของคุณจะดี ประวัติการศึกษาเป็นเลิศ แต่มันกลับไม่สร้างความแปลกใหม่จนHR ไม่สนใจจะเปิดอ่าน เป็นเหตุให้iPrice บริษัทต่างชาติที่ทำการตลาดมากถึง7 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หยิบหยกเทคนิคการเขียนเรซูเม่ยังไงให้เข้าตาHR มานำเสนอถึง4 ข้อเน้นๆด้วยกันมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
อย่าส่งอีเมลโล้นๆต้องมีไฮไลท์เด็ดในเรซูเม่ประกอบด้วย
แม้ปัจจุบันคนไทยจะหางานผ่านเว็บไซต์พร้อมส่งใบสมัครด้วยระบบอัตโนมัติซะส่วนใหญ่เพราะมันสะดวกดี แต่ขอบอกเลยว่าบริษัทใหญ่ ๆ หรือบริษัทต่างชาติมักIgnore ใบสมัครเหล่านี้ เหตุเพราะมันเป็นวิธีเดียวกับที่คนนับร้อยนับพันเขาก็ส่งไปกัน แถมยังเพิ่มงานให้HR ต้องมานั่งคัดแยกเพิ่มอีกต่างหาก ทางที่ดีคุณควรดูข้อมูลบริษัทและส่งอีเมลส่วนตัวไปหาพร้อมแนบเรซูเม่ และCV ไปด้วยจะช่วยเพิ่มความสนใจให้HR มากกว่า
มากไปกว่านั้นอย่าลืมเขียนอีเมลแนะนำตัวคร่าวๆและหลีกเลี่ยงการใช้ข้อความแบบโรบอตเช่น “สมัครงานค่ะ ฝากพิจารณาด้วยนะคะ” หรือ“ผมสนใจในตำแหน่งการตลาดครับ ฝากพิจารณาใบสมัครด้วยนะครับ” ถ้าจะถามว่าทำไม? ง่ายๆให้คุณลองคิดภาพคุณเปิดกล่องขาเข้าในอีเมลที่เต็มไปด้วยข้อความเดิมๆซ้ำๆเป็นคุณก็คงไม่อยากกดเข้าไปอ่านเหมือนกันทางที่ดีควรระบุตำแหน่งงานให้ชัดเจนแนะนำตัวและแจ้งจุดประสงค์ที่ส่งอีเมลมาควบคู่ไปด้วยเช่น
หัวข้ออีเมล: สมัครงานตำแหน่งการตลาดออนไลน์ สวัสดีครับ(ชื่อผู้รับสมัครหรือบริษัทที่เปิดรับสมัคร) สวัสดีครับผมชื่อ นาย ก. เรียนอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผมทราบว่าบริษัทของคุณได้เปิดรับสมัครตำแหน่งการตลาดออนไลน์จำนวนหนึ่งตำแหน่ง เนื่องจากผมศึกษาอยู่ชั้นปีที่4 เมเจอร์การตลาด ผมจึงมีความสนใจอย่างมากที่จะเข้าร่วมทำงานและเป็นส่วนหนึ่งของทีมครับ(ในส่วนนี้ให้บ่งบอกถึงความสนใจในตัวงาน)
ผมแนบใบสมัคร, เรซูเม่และCV ของผมมาพร้อมอีเมลฉบับนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมจะได้รับการพิจารณาและได้รับโอกาสได้เข้าพูดคุยกับคุณในโอกาสต่อไป ขอบพระคุณอย่างสูง นายก.
เพียงการเขียนอีเมลแนะนำตัวเองง่าย ๆ เท่านี้ ก็จะทำให้บริษัทเห็นว่าคุณสามารถแนะนำตัวเองให้บริษัทจดจำได้ และที่สำคัญบริษัทก็พร้อมที่จะเปิดเรซูเม่ของคุณขึ้นมาพิจารณาไปด้วยเช่นกัน อย่างน้อยก็อยากเห็นหน้าไว้ก่อนแหละ
เนื้อหาเป๊ะกระชับและแตกต่าง
ส่วนใหญ่เรซูเม่ของคนไทยจะมีเนื้อหาคล้าย ๆ กัน คือใส่ข้อมูลเข้าไปให้เยอะ ๆ แต่เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ทุกคนมีอยู่แล้วHR เลยมองผ่านเพราะไม่ดึงดูดความสนใจมากพอ เช่น ทักษะทางคอมพิวเตอร์Excel, Word และPowerpoint หรือ ทักษะทางภาษาอย่างอังกฤษ และภาษาไทย เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถช่วยในการตัดสินใจใด ๆ ได้เลย
ถ้าคุณจะใส่ต้องแนบรายละเอียดเข้าไปเพิ่มอย่างExcel สามารถทำVlookup หรือPivotable ได้ส่วนภาษาก็ควรใส่ระดับภาษาของคุณลงไปเช่นภาษาอังกฤษเคยไปสอบโทอิคมาได้คะแนนเท่าไหร่เป็นต้น
แต่อย่าลืมว่าคนอื่นก็ใส่ได้เหมือนกันเผลอๆอาจมีรายละเอียดหรูเลิศกว่าคุณก็เป็นได้ทางที่ดีควรใส่ความสามารถทางด้านโปรแกรมที่หลากหลายอย่าโฟกัสเพียงMicrosoft เท่านั้น ยิ่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังมาแรง หากคุณลองศึกษาเครื่องมือจำพวกGoogle Analytics หรือGoogle Adwords ดูสักระยะจะทำให้คุณมีภาษีดีกว่าคนอื่น ๆ ได้ แม้บริษัทนั้น ๆ จะไม่ได้ทำธุรกิจแนวนี้ แต่มันก็สื่อให้คุณดูแปลกใหม่ไม่จำเจจนHR อยากเรียกมาดูตัวก็เป็นได้
ใช้ภาษาให้สวยหรูเข้าไว้แม้จะเคยได้เกรด0 วิชาภาษาอังกฤษมาแล้ว
แน่นอนว่าปัจจุบันทักษะภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในการคัดคนเข้าทำงานมากขึ้น จนบางคนที่พูด อ่าน เขียนได้แค่ภาษาไทยอย่างเดียวดูจะหมดกำลังใจไปเลย
แต่คุณสามารถลดจุดด้อยนี้ออกไปได้เพียงเขียนเรซูเม่ภาษาเป๊ะๆเข้าไว้ก่อนเพราะเป็นเรื่องปกติที่ถ้าคุณไม่มีความสามารถด้านภาษาก็ย่อมไม่หางานที่ต้องข้องเกี่ยวกับมันอยู่แล้วเพียงเขียนเรซูเม่ให้สวยหรูประดับบารมีก็พอซึ่งบางครั้งมันอาจให้คุณดูน่าสนใจแซงบรรดานักเรียนนอกที่คิดง่ายๆโดยใช้ภาษาพื้นๆเขียนเรซูเม่ส่งก็เป็นได้
แนะนำว่าควรค้นหาตัวอย่างเรซูเม่ภาษาอังกฤษที่เขียนโดยต่างชาติแล้วมาปรับเปลี่ยนข้อมูลเล็กน้อยภายในเอาดีกว่าไม่มีใครรู้หรอก
CV และเรซูเม่ ต่างกันนะ ต้องส่งให้ครบ
เชื่อว่ายังมีหลายคนสับสนระหว่าง CV และเรซูเม่ว่ามันคืออันเดียวกัน บอกเลยว่า ‘ผิด’ ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ ว่ามันต่างกันยังไงก็คือ เรซูเม่จะเป็นประวัติส่วนตัวของคุณในรูปแบบ Bullet Point ส่วน CV จะเป็นข้อมูลการทำงาน ซึ่งคุณควรใส่ให้มันมีความสอดคล้องกับงานที่จะสมัครด้วย ในกรณีที่ไม่มีประสบการณ์ แนะนำให้กล่าวอ้างกิจกรรมที่ทำในสมัยเรียน งานพาร์ททาม หรือผลงานที่โดดเด่นในวิชาที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น จากการศึกษาข้อมูลของแผนก HR บริษัท iPrice ที่ทำการตลาดใน 7 ประเทศแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า คนไทยส่วนใหญ่มักส่งเรซูเม่ที่มีประวัติส่วนตัว และการทำงานรวมอยู่ด้วยกันเท่านั้น ทำให้ในส่วนของ CV มีเนื้อหาน้อยไม่กระชับ ไม่ดึงดูดเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครท่านอื่นที่ส่งมาครบทั้ง CV และเรซูเม่ ทำให้ HR เลือกที่จะเปิดอ่านอีเมลของคนที่ส่งมาครบมากกว่า แม้บางครั้งประสบการณ์ของคุณจะเริ่ด แต่ถ้าไม่ทำการบ้านให้ดีก่อนส่งเมลก็อาจแพ้เด็กจบใหม่ได้นะ แนะนำถ้าใครเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มหางานละก็ควรเริ่มจากใส่ข้อมูลเหล่านี้ซะก่อน ย่อหน้าแรกควรบอกเล่าถึงตัวของคุณ เช่น ชื่อ, สถานศึกษา, ตำแหน่งที่สนใจ ย่อหน้าที่สองต้องเปลี่ยนเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับบริษัทหรือตำแหน่งที่สมัคร ถ้าหากคุณสมัครเข้ามาทำงานในตำแหน่ง Content Marketing คุณจะต้องบอกเล่าประสบการณ์การทำงานในด้านการตลาดที่ผ่านมา พร้อมแจกแจงรายละเอียดว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ ต่อบริษัทที่คุณสมัครงานได้อย่างไร ย่อหน้าสุดท้ายคือการขอบคุณสำหรับเวลาที่บริษัทได้พิจารณาประวัติของคุณ และคุณสามารถลงท้ายด้วยการขอให้พวกเขาพิจารณาอย่างเต็มที่ ข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่ใช้ได้กับบริษัทต่างชาติเท่านั้น แต่ปัจจุบันบริษัทสัญชาติไทยก็เริ่มนำมาปรับใช้ในการคัดคนเข้าทำงานเหมือนกัน เพราะมันช่วยให้พวกเขาคัดบุคลากรที่มีประสิทธิภาพมาร่วมงานด้วยง่ายมากขึ้น หากคุณสามารถส่งเรซูเม่ตามเทคนิคที่เรานำมาเสนอได้ละก็นอกจากสร้างความประทับใจ ดึงดูดความสนใจ และเตะตาพวกเขาแล้ว เปอร์เซ็นที่คุณอาจได้งานก็ยังสูงขึ้นตามไปด้วย. ผู้เขียน : ขนิษฐา สาสะกุล iPrice