การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 ก.พ.) ดัชนี SET Index ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ระดับ 1,516.73 จุด ปรับลง -10.52 จุด หรือคิดเป็น -0.69% มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 24,712 ล้านบาท โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,512.58-1,522.33 ตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่
1. BAM มูลค่าซื้อขาย 2,831.26 ล้านบาท ราคาหุ้น +0.75 (+2.70%)
- AOT มูลค่าซื้อขาย 1,527.34 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.25 (-0.36%)
- PTTGC มูลค่าซื้อขาย 1,172.23 ล้านบาท ราคาหุ้น -2.75 (-5.24%)
- KBANK มูลค่าซื้อขาย 665.37 ล้านบาท ราคาหุ้น -2.00 (-1.39%)
- SCB มูลค่าซื้อขาย 663.13 ล้านบาท ราคาหุ้น -1.00 (-1.00%)
- BBL มูลค่าซื้อขาย 623.14 ล้านบาท ราคาหุ้น -3.50 (-2.40%)
- GPSC มูลค่าซื้อขาย 616.69 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.75 (-0.98%)
- ADVANC มูลค่าซื้อขาย 576.32 ล้านบาท ราคาหุ้น +1.00 (+0.47%)
- BEM มูลค่าซื้อขาย 488.10 ล้านบาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
- BDMS มูลค่าซื้อขาย 477.85 ล้านบาท ราคาหุ้น -0.10 (-0.41%)
ขณะที่ดัชนี SET50 ปรับลง -7.78 จุด หรือ -0.76% อยู่ที่ 1,017.40 จุด ส่วนตลาด mai ปรับลง -1.66 จุด หรือ -0.55% อยู่ที่ระดับ 302.58 จุด
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันที่ 18 ก.พ.63 ว่า วันนี้ตลาดน่าจะปรับตัวลงต่อจากแรงกดดันของตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการปรับฐาน ขณะเดียวกันยังกังวลต่อการลดต่ำลง (downgrade) ของตัวเลขเศรษฐกิจไทยและการลดต่ำลงของกำไรต่อหุ้น (EPS) โดยวันนี้กลุ่มหุ้นที่ปรับลดลงนำโดยปิโตรเคมีกับพลังงาน ซึ่งเป็นไปได้ที่ผลประกอบการของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(GC) ที่ประกาศออกมาค่อนข้างแย่และช็อกพอสมควร
“การปรับลดลงไม่ได้ใหญ่รุนแรงมากนัก เพราะฉะนั้นน่าจะมี Downside จำกัด ดังนั้นคาดว่าวันนี้ตลาดคงไม่ได้ลงไปต่ำกว่า 1,510 จุด และปรับตัวขึ้นไม่เกินระดับ 1,525 จุด”
กลยุทธ์ลงทุนเน้นทยอยซื้อสะสมและลงทุนในกลุ่มรับเหมา กลุ่มส่งออก และกลุ่มการเงินที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งคาดว่าจะลงต่ำได้อีกจากความกังวลทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยิลด์) อายุ 10 ปีลงต่ำต่อเนื่อง รวมไปถึงหุ้นกลุ่มปันผลสูง
