อัลบอน พอใจคว้าที่ 4 เอฟวัน ‘สตีเรียน’ – แฮมิลตันผงาดแชมป์เรซที่ 85
อเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักขับฟอร์มูล่าวันลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ของทีมเร้ดบูลล์ เรซซิ่ง ฮอนด้า พอใจผลงานการเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 4 ของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก สนามที่ 2 “สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ 2020” ที่สนามเรดบูลล์ ริง เมืองสปิลเบิร์ก ประเทศออสเตรีย เมื่อคืนวันที่ 12 กรกฎาคม โดยก่อนการแข่งขันนักขับทุกคนได้คุกเข่าเชิงสัญลักษณ์ร่วมสนับสนุนแคมเปญ BlackLivesMatter (ชีวิตคนดำก็มีค่า) เช่นเดียวกับที่ทำในสนามแรก
ขณะที่แชมป์ของสนามนี้ตกเป็นของลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 6 สมัยชาวสหราชอาณจักรของทีมเมอร์เซเดส ที่คว้าธงตาหมากรุกด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 22 นาที 50.683 วินาที ซึ่งนับเป็นการคว้าชัยชนะสนามที่ 85 ในศึกฟอร์มูล่าวัน เหลืออีกเพียง 6 ครั้งก็จะเทียบเท่าสถิติสูงสุดตลอดกาลที่มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ยอดนักขับชาวเยอรมันดีกรีแชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน 7 สมัย ที่ทำสถิติไว้ 91 สนาม
ด้านอันดับ 2 เป็นของวัลต์เทรี่ บ็อตทาส นักซิ่งชาวฟินแลนด์เพื่อนร่วมทีมเมอร์เซเดส เข้าเส้นชัยตามหลัง 13.719 วินาที ส่วนอันดับ 3 คือแม็กซ์ เวอร์สแตพเพ่น ของทีมเร้ดบูลล์ เรซซิ่ง ฮอนด้า ทำเวลาตามหลังแชมป์ 33.698 วินาที และอัลบอน เข้าเส้นชัยด้วยเวลาตามหลังแฮมิลตัน 44.400 วินาที
อัลบอน กล่าวหลังแข่งจบว่า พอใจกับผลการแข่งขันสนามนี้ การคว้าอันดับ 4 ถือเป็นการทำคะแนนที่ดีสำหรับทีม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสนามแรกที่แข่งขันไม่จบ (มีอุบัติเหตุ) อย่างไรก็ตามความเร็วของสนามนี้ยังไม่ถึงขั้นดีเยี่ยม เพราะควรทำได้ดีกว่านี้ แต่จากสนามนี้ก็ทำให้เข้าใจในตัวรถมากขึ้น และทราบถึงจุดที่ควรนำไปปรับปรุงและพัฒนาต่อไป ส่วนการแข่งขันสนามต่อไป “ฮังกาเรียน กรังด์ ปรีซ์ 2020” ที่ประเทศฮังการี ระหว่างวันที่ 17-19 กรกฎาคมนั้น ยังมองว่าเป็นงานยากที่จะเอาชนะทีมเมอร์เซเดส แต่ยืนยันจะพยายามสู้อย่างเต็มที่แน่นอน
สรุปตารางคะแนนนักขับหลังผ่านไป 2 สนาม
1. วัลต์เทรี่ บ็อตทาส (เมอร์เซเดส) 43 คะแนน
2. ลูอิส แฮมิลตัน (เมอร์เซเดส) 37 คะแนน
3. แลนโด้ นอร์ริส (แม็คลาเรน) 26 คะแนน
4. ชาร์ลส์ เลอแคลร์ ( เฟอร์รารี่) 18 คะแนน
5. เซคิโอ เปเรซ (เรซซิ่ง พอยต์) 16 คะแนน
8. อเล็กซ์ อัลบอน (เร้ดบูลล์) 12 คะแนน
"I was fighting a bit further back than I would have liked." @alex_albon #AustrianGP https://t.co/1vTezFgrb8 #F1 pic.twitter.com/ga5eZPpusA
— Aston Martin Red Bull Racing (@redbullracing) July 12, 2020