โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

หรือจะเอา? Twitter เปิดศึก Trump แปะป้ายเตือน ทวีตของประธานาธิบดี “สนับสนุนความรุนแรง” และ “โปรดใช้วิจารณญาณ”

Beartai.com

อัพเดต 01 มิ.ย. 2563 เวลา 12.08 น. • เผยแพร่ 01 มิ.ย. 2563 เวลา 04.09 น.
หรือจะเอา? Twitter เปิดศึก Trump แปะป้ายเตือน ทวีตของประธานาธิบดี “สนับสนุนความรุนแรง” และ “โปรดใช้วิจารณญาณ”
หรือจะเอา? Twitter เปิดศึก Trump แปะป้ายเตือน ทวีตของประธานาธิบดี “สนับสนุนความรุนแรง” และ “โปรดใช้วิจารณญาณ”

ช่วงนี้ประธานาธิบดี Donald Trump ดูจะงานเข้าหลายเรื่อง (หรือทำให้ตัวเองงานเข้าเพื่ออยู่ในกระแสก็ไม่แน่ใจ) หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทางทวิตเตอร์ได้ซ่อนและขึ้นป้ายเตือนข้อความ ต่อทวีตของ Trump ว่า มีเนื้อหาสนับสนุนและส่งเสริมความรุนแรง ทวิตเตอร์ได้เริ่มใช้ฟังก์ชันตรวจสอบข้อเท็จจริงกับข้อความที่ Trump ทวีต ที่ทำให้ต่อมา Trump ออกมาขู่ว่าจะสั่งปิดเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์ก โทษฐานที่มาจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น (โดยเฉพาะกับของเขา)

ภาพจากสื่อ NBC New York
ภาพจากสื่อ NBC New York

ทวิตเตอร์ให้เหตุผลที่ซ่อนข้อความของ Trump จากหน้าฟีดของเขาว่า เป็นเพราะเนื้อหาในทวีตนั้นสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้อ่านก่อความรุนแรง อย่างไรก็ตามทวิตเตอร์ไม่ได้ลบทวีตของ Trump แต่ได้แจ้งเตือนผู้ใช้คนอื่น ๆ ว่า“ทวิตเตอร์ได้พิจารณาแล้วว่า การอนุญาตให้เข้าถึงทวีตนี้เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ยังดำเนินอยู่และมีความสำคัญต่อสาธารณชน” โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์ยังสามารถกดเข้าไปดูเนื้อหาที่ซ่อนไว้ได้ แน่นอนว่าการการซ่อนข้อความในครั้งนี้ย่อมเป็นการสร้างไม่พอใจให้กับ Trump (ที่ก็ไม่ค่อยพอใจสิ่งที่คนอื่นตอบโต้เขาเรื่องต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงความไม่เห็นด้วยต่อตัวเขาอยู่แล้ว)

Twitter is doing nothing about all of the lies & propaganda being put out by China or the Radical Left Democrat Party. They have targeted Republicans, Conservatives & the President of the United States. Section 230 should be revoked by Congress. Until then, it will be regulated!

— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) May 29, 2020

ทวีตของ Trump ที่เป็นตัวจุดชนวนศึกของเขาและทวิตเตอร์รอบใหม่นี้ ทวีตเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวจำนวน 4 นาย ใช้กำลังเข้าจับกุมพลเมืองผิวดำจนเกิดการเสียชีวิตขึ้น เหตุเกิดขึ้นที่เมืองมินนีแอโปลิส รัฐมินนีโซตา ลุกลามบานปลายเกิดเป็นเหตุประท้วงใน 25 รัฐ หรือก็คือเกือบครึ่งหนึ่งของสหรัฐฯ ในตอนนี้ และมีแนวโน้มที่การประท้วงจะทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกในสัปดาห์นี้ หลังจาก 16 รัฐออกมาประกาศเคอร์ฟิวแล้ว

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า จะส่ง “กองกำลังแห่งชาติ (National Guard)” เข้าควบคุมสถานการณ์ จากนั้นก็ทวีตข้อความในเชิงข่มขู่ว่า “หากมีการปล้นร้านต่าง ๆ เกิดขึ้นเมื่อไร การลั่นกระสุน (ใส่ประชาชน) ก็จะเกิดขึ้น” (ตอนนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังที่หลายคนคงจะได้เห็นคลิปการปล้นร้าน Gucci และ Nike ของประชาชนอเมริกัน) ซึ่งคำพูดของ Trump นั้นเป็นการอ้างถึงคำพูดในเหตุการณ์ช่วง 1960s ซึ่ง Walter Headley อธิบดีกรมตำรวจในตอนนั้น ใช้คำพูดนี้เพื่อประกาศท่าทีอันแข็งกร้าวต่อการควบคุมพลเมืองผิวดำ

การที่ทวิตเตอร์เลือกจะขึ้นข้อความเตือนแทนการลบโพสต์นั้น เป็นมาตรการของทวิตเตอร์เองที่จะใช้สำหรับกรณีที่ข้อความนั้นทวีตโดยบุคคลสาธารณะ และมีเนื้อหาละเมิดข้อกำหนด ซึ่งทวิตเตอร์ใช้มาตรการนี้มาตั้งแต่กลางปี 2019 แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีซ่อนและออกคำเตือน รวมถึงร้ายแรงขนาดลบข้อความของบัญชีไหนมาก่อน “ทวีตที่เชื่อมโยงกับความรุนแรง เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการกระทำเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันตอนนี้” แถลงการณ์ของทวิตเตอร์ออกมาย้ำจุดยืนของตัวเอง

“These THUGS are dishonoring the memory of George Floyd, and I won’t let that happen. Just spoke to Governor Tim Walz and told him that the Military is with him all the way. Any difficulty and we will assume control but, when the looting starts, the shooting starts. Thank you!” https://t.co/GDwAydcAOw

— The White House (@WhiteHouse) May 29, 2020

We have placed a public interest notice on this Tweet from @realdonaldtrump. https://t.co/6RHX56G2zt

— Twitter Comms (@TwitterComms) May 29, 2020

โดยการซ่อนและออกคำเตือนนี้จะทำให้ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายอื่น ไม่สามารถเข้าไปกดไลก์ เมนชั่น หรือรีทวีตของ Trump ต่อแบบไม่ได้เพิ่มความเห็นของตัวเอง แต่ทวิตเตอร์ระบุว่า การรีทวิตดังกล่าวยังทำได้หากแสดงความเห็นใหม่เข้าไปด้วย

การประกาศเปิดศึกกับ Trump ของทวิตเตอร์ในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งพิเศษซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกเลิกการคุ้มครองทางกฎหมายที่สื่อโซเชียลมีเดียได้รับอยู่ในปัจจุบัน โดยคำสั่งนี้จะยังไม่มีผลบังคับใช้ทันที แต่แน่นอนว่าจะเป็นคำสั่งที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของสื่อออนไลน์ในโลกสมัยใหม่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับรัฐบาลที่มีประวัติคุกคามสื่อมาโดยตลอด เส้นบาง ๆ ของการใช้อำนาจโจมตีระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับสื่อสหรัฐฯ คงจะมีอีกหลายบทหลายตอนต่อไปจากนี้

ก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐได้ทวีตข้อความเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้บัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผ่านทางไปรษณีย์ (Mail-In Ballots) โดย Trump กล่าวว่า บัตรรูปแบบดังกล่าวสามารถก่อให้เกิดการทุจริตและบิดเบือนผลการเลือกตั้งได้ ต่อมาทางทวิตเตอร์ได้ทำการติดป้าย fact-check เพื่อให้ผู้ติดตามทวีตของผู้นำสหรัฐฯสามารถเข้าไปตรวจสอบและใช้วิจารณญาณเพิ่มเติมได้ว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อ พร้อมเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากหลากหลายแหล่งว่า ยังไม่พบหลักฐานการโกงผลการเลือกตั้งจากการใช้ระบบลงคะแนนแบบ Mail-In Ballots ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้ Trump ออกอาการ ทวีตข้อความโจมตีทวิตเตอร์ว่า พยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และอ้างว่าฝั่งทวิตเตอร์ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายที่ต่อต้านเขา

There is NO WAY (ZERO!) that Mail-In Ballots will be anything less than substantially fraudulent. Mail boxes will be robbed, ballots will be forged & even illegally printed out & fraudulently signed. The Governor of California is sending Ballots to millions of people, anyone…..

— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) May 26, 2020

.@Twitter is now interfering in the 2020 Presidential Election. They are saying my statement on Mail-In Ballots, which will lead to massive corruption and fraud, is incorrect, based on fact-checking by Fake News CNN and the Amazon Washington Post….

— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) May 26, 2020

….Twitter is completely stifling FREE SPEECH, and I, as President, will not allow it to happen!

— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) May 26, 2020

ฝั่งของเฟซบุ๊กก็มีความเคลื่อนไหว โดย Mark Zuckerberg ออกมาโพสต์แสดงจุดยืนว่า จะไม่ลบหรือเซนเซอร์โพสต์ของ Trump แบบเดียวกับที่ทวิตเตอร์ทำ โดย Zuckerberg ยอมรับว่า โพสต์ที่ใช้ข้อความเดียวกันกับในทวิตเตอร์ของ Trump มีความพยายามจะอ้างอิงถึงถ้อยคำที่นำไปสู่ความรุนแรงในอดีตจริง และย่อมจะทำให้ผู้คนไม่พอใจเป็นจำนวนมาก แต่ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนก็มีสิทธิรับรู้ว่า รัฐบาลมีความคิดและแผนการจะทำอะไรบ้าง (นัยยะว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ประชาชนก็น่าจะมีสิทธิรับรู้และตัดสินการกระทำของรัฐบาล และใช้วิจารณญาณเอาเอง)

และภายหลัง Trump ก็โพสต์ในเฟซบุ๊กขยายความว่า โพสต์แรกเรื่องการจะส่งกองกำลังแห่งชาติเข้าไปควบคุมสถานการณ์นั้น เป็นเพียง “คำเตือน” หากเหตุการณ์ควบคุมไม่ได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ The Verge อ้างข้อมูลจากโพสต์ภายในบริษัทเฟซบุ๊กที่หลุดออกมา ว่า นโยบายขององค์กรที่เคยประกาศไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและโพสต์ของนักการเมืองนั้น ส่งผลให้พนักงานของบริษัทหลายคนไม่พอใจ และเคยมีการยื่นขอเรียกร้องต่อผู้บริหารให้ทบทวนนโยบายนี้แล้วด้วย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0