หนุ่มมือต่อยกุญแจเสียบหัว สำนึกผิดทุกอย่าง ยอมรับเมา ถ้าไม่ให้เยียวยา ก็ต้องยอมติดคุก…
จากกรณีที่นายกิตติพล งามเชื้อ หรือ แบงค์ อายุ 18 ปี ที่ถูกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากถูกนายอรรถกร สาขา หรือ เท่ห์ อายุ 20 ปี ซึ่งเป็นคู่กรณี เอากุญแจมอเตอร์ไซค์ต่อยเข้าที่กระโหลก ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะนายแบงค์ได้ทำของตกที่บริเวณซอยเรวดี 29 ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้ว
ล่าสุด นายเท่ห์ ผู้ก่อเหตุ ได้เปิดเผยต่อทีมข่าวช่องวัน 31 ว่า ในคืนวันที่เกิดเหตุ นายแบงค์ไม่ได้ขับรถกวนอะไร แต่จอดรถข้างทางขวางเอาไว้เพื่อเก็บของ ตนเองขับมาเร็ว เบรคเกือบไม่ทันเกือบล้ม จึงรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก ก็เลยลงจากรถแล้วไปต่อยนายแบงค์ แต่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีกุญแจอยู่มือ รู้ตัวอีกที กุญแจก็ไปเสียบอยู่ที่หัวนายแบงค์แล้ว ยอมรับว่าวันที่เกิดเหตุนั้น ตนเองเมาจริงๆ และเมามากด้วย
ส่วนประเด็นที่บอกว่า นายเท่ห์นั้นได้ขึ้นไปที่แผนกศัลยกรรมชายของโรงพยาบาลที่ตนเองทำงานอยู่ แล้วได้นำพวกอีก 3 คน ยกเหล็กห้อยถุงน้ำเกลือไปข่มขู่นายแบงค์หลายครั้ง เพื่อทำให้กลัวแล้วจะได้ไม่ต้องแจ้งความ นายเท่ห์ขอปฏิเสธในเรื่องนี้ เพราะทุกครั้งที่ขึ้นไปหานายแบงค์ ก็จะไปถามอาการว่าดีขึ้นบ้างหรือยังเพราะเป็นห่วง แต่นายแบงค์ก็ปฏิเสธความหวังดี
เมื่อถามถึงเรื่องเงินเยียวยาที่ผู้บาดเจ็บมองว่ามันน้อยไปกับอาการบาดเจ็บที่ต้องเผชิญ เพราะผู้ก่อเหตุจะจ่ายเงินเพียวแค่ 3,000 – 4,000 บาทเท่านั้น แล้วให้จบเรื่อง นายเท่ห์บอกว่า ตนเองไม่อยากติดคุก อยากทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ต่อ ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินเยียวยาตามที่ผู้บาดเจ็บต้องการ ตนเองก็สำนึกผิดทุกอย่างแล้ว แต่จะขอผ่อนจ่ายเป็นงวดๆเท่านั้น เพราะไม่ได้มีเงินมากนัก แต่ถ้าครอบครัวไม่ยอม เขาเองก็ต้องยอมติดคุก
นายเท่ห์ ยังบอกอีกว่า วันที่เกิดเหตุพยายามพาตัวนายแบงค์ไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว แต่นายแบงค์กลับพาตนเองขับไปหารุ่นพี่ จากนั้นก็โดนรุ่นพี่ของนายแบงค์ต่อย บาดแผลก็ยังมีอยู่ แต่พอแจ้งความ ตำรวจก็ไม่รับแจ้ง อยากบอกว่าตนเองก็โดนทำร้ายร่างกายเหมือนกัน
ส่วนความคืบหน้าของคดีนี้ทางพ.ต.ท.พันธมิตร จ้างประเสริฐ รอง ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี เปิดเผยว่า ทางตำรวจได้สอบปากคำผู้ที่ก่อเหตุ รวมไปถึงคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว หลังจากนี้จะได้เชิญตัวนายเท่ห์มาพบอีกครั้ง จากนั้นจะได้แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส พร้อมกันนี้จะได้ขอตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดต่อไป หากพบว่าเข้าข่ายความผิดอื่นก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามไปด้วย.
