นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งที่มีความชัดเจนทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะต่างชาติและเห็นได้ว่าวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นตอบรับกับข่าวดังกล่าว เห็นได้จากเงินทุนเริ่มไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย แต่เชื่อว่าเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ซึ่งต้องมีประเด็นที่ต้องติดตามว่าหลังจากเลือกตั้งแล้วรัฐบาลนโยบายอย่างไร การเติบโตเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และนักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวไทยหรือไม่ ส่วนตลาดหุ้นไทยจะไปแตะระดับ 1,700 จุดหรือไม่นั้นต้องดูปัจจัยอื่นสนับสนุนด้วยทั้งภายในและภายนอกประเทศ
" การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในอัตราที่ 10% แม้เติบโตดี แต่ไม่น่าสนใจหากเทียบกับประเทศในตลาดเกิดใหม่รายอื่นที่มีการเติบโต 15-20% ดังนั้นเมื่อมีเงินไหลเข้ามาอาจหยุดดูผลประกอบการก่อน ส่วนกรณีที่ผู้บริหารบางบริษัทปั่นหุ้นนั้น ตลาดฯมีเครื่องมีเข้ามากำกับดูแลและดูความผิดปกติการซื้อขายดีขึ้น และนักลงทุนยังมั่นใจว่าเราสามารถตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างรัดกุม และลดการทำพฤติกรรมที่ทำให้หุ้นร้อนแรงเกินพื้นฐานลงไปได้ สำหรับการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะซื้อขายหุ้นผ่านช่องทางออนไลน์ประมาณ 70% หรือมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยประมาณ 15,000 ล้านบาท"
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตาม เป็นเรื่องสงครามทางการค้า ความคืบหน้าอังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิท กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นแบงก์ และอสังหาริมทรัพย์
นายกัมพล จันทวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยขานรับข่าวพรฎ. เลือกตั้งเป็นช่วงระยะสั้น ซึ่งในระยะยาวต้องดูว่าพรรคไหนได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และดูในเรื่องของนโยบายการบริหารประเทศ และการลงทุนเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการสานต่อนโยบายของรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีมุมมองที่ดีต่อในปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจในประเทศ แต่ปัจจัยเสี่ยงเป็นเรื่องต่างประเทศเป็นหลัก และมองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,900-2,000 จุดในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 26 ม.ค.นี้ สมาคมฯ ได้จัดงาน Investment EXPO 2019 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้ธีมงาน Digital Transformation by Securities Industry โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และนำเสนอการปรับเปลี่ยนของธุรกิจหลักทรัพย์ในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบโจทย์การลงทุนให้กับนักลงทุน ในยุคดิจิตอล ซึ่งการนำ Digital Technology เข้ามาใช้ในธุรกิจหลักทรัพย์ทำให้เกิดความสะดวกและมีประสิทธิภาพ มากขึ้นทั้งการเปิดบัญชี การพิสจูน์ตัวตน การเข้าถึงข้อมูลของนักลงทุน การบริหารจัดการการลงทุนและเป็นการช่วยให้นักลงทุนติดตามปรับพอร์ตการลงทุนตามสภาวะของตลาดได้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและโบรกเกอร์ 27 แห่ง มาร่วมออกบธู ซึ่งทุกบริษัทจะนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาเสนอให้นักลงทุนได้เรียนรู้ด้วย