โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ส่อง ‘รัฐวิสาหกิจ’ ในอดีต ที่ถูกแปรสภาพเป็น ‘บริษัทเอกชน’

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 29 พ.ค. 2563 เวลา 10.26 น. • เผยแพร่ 29 พ.ค. 2563 เวลา 18.45 น.

จากกรณีของ“บริษัทการบินไทยจำกัด(มหาชน)” หนึ่งรัฐวิสาหกิจของไทยที่ถูกแปลงร่างพ้นสภาพจากรัฐวิสาหกิจเป็นเอกชนอย่างเต็มตัวไปสดๆ ร้อนๆ เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากปล่อยให้คนไทยช็อคไปตามๆ กันจากการเปิดเผยงบปี2562 ที่ "การบินไทย" ขาดทุนสุทธิไปกว่า1.2 หมื่นล้านบาทและมีภาระหนี้สะสมกว่า2.2 แสนล้านบาทซึ่งมีการคาดการณ์ว่าหากไม่ทำอะไรปีนี้อาจทำให้ขาดทุนสูงถึง5.9 ล้านบาท

มาดูกันว่า ในอดีตที่ผ่านมามีรัฐวิสาหกิจอะไรบ้างที่ได้ออกจากสถานะรัฐวิสาหกิจมาสู่สถานภาพเอกชนบริษัทจำกัดมหาชนแบบเต็มตัวบ้าง? 

ก่อนอื่น“กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” ขอพามาทำความเข้าใจเรื่องของ“วิสาหกิจ” ว่าคืออะไรกันแน่ ?

หากเข้าไปดูพ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจพ.ศ.2562 จะพบว่า วิสาหกิจของไทยมี2 รูปแบบคือ

1. องค์การของรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลกิจการของรัฐตามกฎหมายที่จัดตั้งกิจการนั้นหรือหน่วยงานธุรกิจที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและ

2. บริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่กระทรวงการคลังมีทุนรวมอยู่ด้วยเกินกว่า50%

สำหรับ“การบินไทย” เข้าเกณฑ์ในความหมายส่วนที่2 โดยอยู่ในสังกัดกระทรวงคมนาคมและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพทย์แห่งประเทศไทยแต่เมื่อ "กระทรวงการคลัง"หรือผู้ถือหุ้นหลักปรับลดการถือหุ้นลงจาก51.03% หรือราว1,113.93 ล้านหุ้น เหลือราว48% แน่นอนว่า สถานะจึงต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่วิสาหกิจอีกต่อไป

ทั้งนี้ทั้งนั้นกระบวนการต่อนี้ไปคือเมื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้วการบินไทยต้องพึ่งพาตัวเองโดยภาครัฐไม่สามารถเข้ามาให้การสนับสนุนด้านการเงินอย่างเคย ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังได้บรรลุข้อตกลงในการขายหุ้นการบินไทยให้กับกองทุนวายุภักษ์เรียบร้อยแล้วราว3.17% หรือ69 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ4.03 บาทรวมมูลค่ากว่า278 ล้านบาททั้งนี้ทำให้กระทรวงการคลังมีหุ้นเหลืออยู่ในการบินไทยราว47.86%

โดยที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจหลายแห่งก็มีประสบการณ์ดังกล่าวมาแล้วเช่นกันยกตัวอย่างเช่นบริษัททิพยประกันภัยจำกัด(มหาชน) ที่จากเดิมช่วงก่อตั้งครั้งแรกปี2494 โดยฯพณฯจอมพลสฤษดิ์ธนะรัตน์ใช้ชื่อว่าบริษัททิพยประกันภัยจำกัดต่อมาทางราชการได้รับโอนหุ้นจากจอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิงวิจิตราธนะรัตน์มาเป็นของกระทรวงการคลังส่วนหนึ่งรวมถึงได้รับโอนหุ้นฯพณฯจอมพลประภาสจารุเสถียรมาเป็นของกระทรวงการคลังอีกส่วนหนึ่ง

ทำให้ปี2518 กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทถึง55.5% หรือมีฐานะเป็น "วิสาหกิจ" ในกระทรวงการคลังต่อมามีการกระจายหุ้นไปอยู่ในบริษัทต่างๆเช่นธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทยจำกัด(มหาชน) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำให้กระทรวงการคลังเหลือหุ้นอยู่เพียง5.24%

จนกระทั่งปี2538 ก็มีมติให้แปรสภาพจากรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทจำกัดมหาชนเพื่อให้พร้อมที่จะแข่งขันได้อย่างเสรีของธรุกิจประกันภัยและเริ่มมีการซื้อขายกันครั้งแรกเมื่อวันที่24 กรกฎาคม2539 ซึ่งมีทุนจดทะเบียน600 ล้านบาทปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือบริษัทปตท. จำกัด(มหาชน) ราว13.33%

และทราบหรือไม่ว่า บริษัทบางจากคอร์เปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) กลุ่มบริษัทพลังงานของไทยที่มีอายุราว80 ปีก่อนที่จะมาเป็นบริษัทเอกชนอย่างเต็มตัวบริษัทบางจากฯเคยเป็นรัฐวิสาหกิจมาก่อน

จากเริ่มแรกที่กระทรวงกลาโหมก่อตั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกของประเทศแต่ประสบวิกฤติสงครามโลกครั้งที่2 จนทำให้ต้องยุติกิจการไปพอถึงรัฐบาลสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามก็กลับมาจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ขึ้นดำเนินการเรื่อยๆจนมีปัญหากับ บริษัทซัมมิทอินดัสเตรีบลคอปอเรชั่น(ปานามา) ทำให้รัฐบาลในขณะนั้นตัดสินใจยกเลิกสัญญากับบริษัทดังกล่าว

หลังจากนั้นราว3 ปีคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมติให้บริษัทบางจากฯ ในขณะนั้นจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและจัดตั้งบริษัทในชื่อบริษัทบางจากปิโตรเลียมจำกัดในปี2527 และถูกแปรรูปเป็นบริษัทธุรกิจเอกชนในปี2538

ขณะนี้บริษัทบางจากฯได้ขยายสู่ธุรกิจอื่นๆทั้งธุรกิจNon-Oil เช่นร้านสะดวกซื้อร้านกาแฟกลุ่มธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียวกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพเป็นต้นทั้งนี้ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือสำนักงานประกันสังคมถือหุ้น14.40% หรือราว198.2 ล้านหุ้นรองลงมาเป็นกระทรวงการคลัง9.98% หรือราว137.4 ล้านหุ้น

ทั้งนี้หากเทียบอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะพบว่าช่วงปี2538 ที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่สถานะบริษัทเอกชนนั้นมีอัตราผลตอบแทนปันผลอยู่ที่2.82% โดยเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น1.61  แต่หลังจากนั้นในปี2539 พบว่าอัตราผลตอบแทนปันผลปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่4.08% โดยเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่1.96

อีกหนึ่งตัวอย่างคือบริษัทเอ็นอีพีอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมจำกัด(มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์รวมถึงธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทร่วมเช่น นวนคร เดิมก็เคยอยู่ในสถานะรัฐวิสาหกิจมาแล้วเช่นกัน โดยเดิมบริษัทนี้มีชื่อว่าบริษัท กระสอบอิสาน จำกัด จดทะเบียนครั้งแรกราว 67 ปีที่ผ่านมา

ช่วงแรกมีการแปรสภาพมาเป็นรัฐวิสาหกิจ และกระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นเกือบทั้งหมด และในปี 2530 ก็มีการแปรสภาพเป็นบริษัทเอกชน ต่อมาก็มีการแปรสภาพเป็นิติบุคคล และเปลี่ยนเป็นชื่อในปัจจุบัน

ทั้งนี้ "กระสอบอิสาน" ถือเป็นรัฐวิสาหกิจแรกของไทยที่มีการแปรสภาพเป็นบริษัทเอกชน โดยขณะนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่คือบริษัทวาวาแพคจำกัดถือหุ้นในสัดส่วน19.78% หรือรว460 ล้านหุ้นรองลงมาคือกระทรวงการคลัง12.72% หรือราว295.84 ล้านหุ้น

 

ที่มา: bangkokbiznewsseposetbangchakinvestor.bangchak, nep  

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0