โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สแกน 5 หุ้น “ความงาม” ยังสวยอยู่ไหม !!? 

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - Business News

เผยแพร่ 14 ก.ค. 2561 เวลา 18.00 น.

ในขณะที่ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลง สอดคล้องไปทิศทางเดียวกับดัชนีSET INDEXช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ปี 2561 ที่ปรับตัวลงจาก"จุดสูงสุด"(New High)1,838.96 จุด (24 ม.ค.61) มา"จุดต่ำสุด"1,595.58 จุด (29 มิ.ย.61) หรือ ลดลงกว่า 243.38 จุด

ทว่า ในช่วง"ขาลง"ของตลาดฯ กลับยังมีหุ้นขนาดกลาง-เล็กหลายตัวราคาหุ้นร่วงลงมากกว่าตลาด จนทำให้ค่า PE (Price to Earning ratio) หรืออัตราส่วนระหว่างราคาของหุ้นและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริงไปมาก เสมือนเป็นลางบอกเหตุว่า"ฟองสบู่"ของหุ้นเหล่านั้นกำลัง"แตก" หรือไม่อย่างไร..?

โดยหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงมากกว่า SET Index นั่นคือ หุ้นใน"กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง"…!!!หากพิจารณาจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง เช่น บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTYของ นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ , บมจ. อาร์เอส หรือ RSของเฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ , บมจ. โอ ซี ซี หรือ OCC , บมจ. ดู เดย์ ดรีม หรือ DDD , บมจ. คาร์มาร์ท หรือ KAMART เป็นต้น

ย้อนไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเครื่องสำอางที่เคยมีผลประกอบการ"โดดเด่น"ฐานธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำในขณะนั้น จึงสามารถขยายตลาดไปอีกมากแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว ทำให้การลงทุนในหุ้นกลุ่มเครื่องสำอางในช่วงที่ผ่านมา"คึกคัก"เฉกเช่น"กระทิงหนุ่ม"ที่ดึงดูดเงินนักลงทุนหน้าเก่า-ใหม่ เข้ามาแสวงหากำไรในหุ้นได้ไม่ขาดสาย ยิ่งเฉพาะหุ้น IPO (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) ที่มีความ"ฮอตฮิต"แทบทุกตัว

ทว่า ปัจจุบันสารพัดข่าวลือและผลการดำเนินงานเติบโตน้อยลง กำลังเป็น"ปัจจัยลบ"เข้ามากดดันความสวยของกลุ่มนี้ บ่งชี้ผ่านราคาหุ้นความงามที่ปรับตัว"ลดลง"หากพิจารณาจาก 5 หุ้นในกลุ่มดังกล่าว เช่น หุ้น BEAUTY หุ้น DDD หุ้น KAMART หุ้น OCC และหุ้น RS ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันปรับลงค่อนข้างมาก สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ตัวลดลงเฉลี่ย 63.46% 45.76% 34.92% +7.50% และ 43.06% ตามลำดับ

ขณะที่"ตัวเลขมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap"ของ หุ้น BEAUTY หุ้น DDD หุ้น KAMART หุ้น OCC และหุ้น RS ลดลงหากเทียบกับต้นปี 2561 โดยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 60,955.51 ล้านบาท , 30,020.00 ล้านบาท , 6,379.99 ล้านบาท , 960 ล้านบาท และ 28,031.69 ล้านบาท (ณ 3 ม.ค.61) ตามลำดับผ่านไปกว่า 6 เดือน"มาร์เก็ตแคป"ลดลงเหลือ 22,836.79 ล้านบาท , 15,258.61 ล้านบาท , 4,206.39 ล้านบาท , 1,032.00 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น) และ 15,960.36 ล้านบาท (ณ 10 ก.ค.61) ตามลำดับ

ขณะที่ ปัจจุบันธุรกิจเครื่องสำอางกำลังมีประเด็นฮอตฮิตในกระแสสังคม ในกรณี"คดีเมจิกสกิน-ลีน"ส่งผลกระทบต่อธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในวงกว้าง ไม่เว้นแม้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

สอดคล้องกับราคาหุ้นกลุ่มเครื่องสำอางที่ปรับตัวลดลงทั้งจากกระแสข่าวคดีเมจิกสกิน-ลีน , ช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจ รวมทั้งธุรกิจเริ่มแข่งขันที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการเข้าสู่ภาวะถดถอย ไม่เข้าเป้าหมายของหลายนักวิเคราะห์ หรือนักลงทุนที่คาดหวังผลประกอบการ

ดังนั้นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ประกาศออกมาหุ้นกลุ่มนี้จึง"ไม่โดดเด่น"ดังหวัง ตอกย้ำให้เกิดความกังวลของนักลงทุนมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น…!!

โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2558-2560) ของกลุ่มเครื่องสำอางพบว่าบมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือBEAUTYมี"กำไรสุทธิ"อยู่ที่ 402.49 ล้านบาท 656.01 ล้านบาท 1,229.32 ล้านบาท และไตรมาส 1 ปี 2561 มีกำไรสุทธิ 282.41 ล้านบาท ขณะที่"รายได้"จำนวน 1,792.03 ล้านบาท 2,558.84 ล้านบาท 3,735 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 904.94 ล้านบาท

บมจ.อาร์เอส หรือRSมีกำไรสุทธิ 121.63 ล้านบาท ,-102.15 ล้านบาท 332.86 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 101.94 ล้านบาท ด้านรายได้อยู่ที่ 3,779.51 ล้านบาท 3,248.51 ล้านบาท 3,588.13 ล้านบาท ไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 976.33 ล้านบาท

บมจ.โอ ซี ซี หรือOCCมีกำไรสุทธิ 82.88 ล้านบาท 70.79 ล้านบาท 63.25 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 140.35 ล้านบาท ด้านรายได้อยู่ที่ 1,455.45 ล้านบาท 1,417.50 ล้านบาท 1,404.71 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 489 ล้านบาท

บมจ. ดู เดย์ ดรีม หรือDDDมีกำไรสุทธิ 193.90 ล้านบาท 335.20 ล้านบาท 351.06 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 112.15 ล้านบาท ด้านรายได้อยู่ที่ 956.70 ล้านบาท 1,204.80 ล้านบาท 1,684.38 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 386.66 ล้านบาทบมจ.คาร์มาร์ท หรือKAMARTมีกำไรสุทธิ 209.66 ล้านบาท 263.83 ล้านบาท 281.63 ล้านบาท ไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 71.52 ล้านบาท ด้านรายได้ 1,204.97 ล้านบาท 1,453.00 ล้านบาท 1,551.63 ล้านบาท และไตรมาส 1/61 อยู่ที่ 378.87 ล้านบาท

สอดคล้องกับความเห็นของ"โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง"อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า มีมุมมองในธุรกิจกลุ่มเครื่องสำอาง ว่าเริ่มมีภาวะฟองสบู่ สะท้อนจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปมาก และมีค่า P/E ในระดับสูง รวมทั้งในปัจจุบันมีผู้ประกอบการสนใจเข้ามาลงทุนทำธุรกิจเครื่องสำอางจำนวนมาก ทำให้ตลาดแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจที่เคยมีมาร์จิน(กำไรต่อหน่วย) ระดับสูงๆ ตอนนี้มาร์จินอาจมีโอกาสลดลง

"อดีตฐานธุรกิจยังต่ำ แต่ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดดมาตลอดหลายปี ดังนั้นจะหวังให้ธุรกิจเติบโตแบบเดิมคงยาก แต่ไม่ใช่ว่าธุรกิจจะไม่เติบโต แต่เป็นการเติบโตที่น้อยกว่าเดิม"

ขณะที่"นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือBEAUTYเชื่อมั่นว่า ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทในปี 2561 ยังมีกำไรและเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 1,229 ล้านบาท สำหรับรายได้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อน ตามกำลังซื้อที่จะมากขึ้น และในช่วงครึ่งปีหลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งบริษัทเน้นการขยายยอดขายในทุกๆ ช่องทางการจำหน่าย และออกสินค้าใหม่เข้ามากระตุ้นตลาดเพิ่มเติม

แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 อาจจะไม่เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเป็นผลมาจากความนิยมของสินค้าแบรนด์ BEAUTY COTTAGE ลดลง ประกอบกับ เป็นช่วงโลซีซั่นของธุรกิจ ทว่าในเดือน ก.ค.นี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ คือ BEAUTY COTTAGE LUXURY เพื่อเป็นการกระตุ้นความนิยมและความต้องการของตลาด

ประกอบกับ บริษัทมองว่าแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางในช่วงครึ่งปีหลัง ยังสามารถเติบโตได้ เนื่องจากกำลังซื้อกลุ่มผู้บริโภคยังมีอยู่ต่อเนื่อง รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น และยังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของแฟชั่นที่เกิดความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เทรนด์ใหม่ ซึ่งถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจและสินค้าของ BEAUTY

"หมอสุวิน"บอกด้วยว่า ในครึ่งปีหลังจะขยายสาขาของทุก Shop Brand ในประเทศ ทั้งในต่างจังหวัด หัวเมืองท่องเที่ยว และในกรุงเทพฯ พร้อมกันนั้น ยังจะพัฒนาสินค้าและขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าสู่ตลาดคอนซูเมอร์ที่เป็น Mass Market (ตลาดทั่วไป) เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับเซเว่นอีเลฟเว่น และปรับขนาดสินค้าเพื่อให้เหมาะสมกับการวางจำหน่ายในเซเว่นฯกว่า 1 หมื่นสาขาภายในปีนี้

ปัจจุบัน BEAUTY มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 348 สาขา แบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 265 สาขา BEAUTY COTTAGE 75 สาขา BEAUTY MARKET 8 สาขา อีกทั้งยังมีจุดขาย ณ คิง พาวเวอร์ 8 สาขา 22 จุดจำหน่าย วางจำหน่ายสินค้าผ่าน 7-11 จำนวน 650 สาขา และ Boots 145 สาขา

สำหรับ"ตลาดต่างประเทศ"ยังมุ่งเน้นช่องทางขายรูปแบบใหม่ Cross-border E-commerce หรือ การขายออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รุกขยายไปในจีนแล้ว ปัจจุบัน BEAUTY มีช่องทางจำหน่ายในอีคอมเมิร์ซทั้ง 5 เว็บไซต์สำคัญของจีน ได้แก่ TMALL, KAOLA, VIP, YUNJI และ JD ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซใหญ่อันดับต้น ๆ ของจีน

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับ 5 แพลตฟอร์มไว้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้

นอกจากนี้ยังขยายตลาดเชิงรุกในต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นการสร้าง "Shop License" และ "Product Distributor" ในกลุ่มประเทศ AEC ซึ่งรูปแบบการขายสินค้าจะเป็นช่องทางการจำหน่ายที่เข้าถึงง่ายทั้ง Offline Retailer และ Online Retailer ที่ได้รับความนิยมในแต่ละประเทศ อีกทั้งได้มีตัวแทนจำหน่ายใน 9 ประเทศเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว คือ

ในรูปแบบ Independent Shop จำนวน 17 สาขา ที่ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รูปแบบ Counter sale จำนวน 10 จุดจำหน่ายที่ลาวและเมียนมา และรูปแบบ Shop in Shop จำนวน 131 จุดจำหน่าย คือ ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย อินโดนีเซีย

นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 ยังมีแผนจะเซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายใน 3 ประเทศ คือตะวันออกกลาง สิงคโปร์ และกัมพูชา โดยจะจัดประชุม Annual Meeting ตัวแทนจำหน่ายพร้อมกันทั้ง 11 ประเทศเพื่อวางแผนขยายตลาดสู่ความเป็นรีจินอลแบรนด์ (Regional Brand)

"ข่าวลือที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นผลกระทบต่อราคาหุ้น แต่เราก็ได้แก้ข่าวลือไปแล้ว ซึ่งเราก็ยังยืนยันศักยภาพการเติบโตของบริษัท เรายังมีช่องทางการขายที่หลากหลาย และแบรนด์เป็นที่ยอมรับ คงจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดในระยะสั้นได้"

ด้าน"ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์"ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงินบมจ.ดู เดย์ ดรีม หรือDDDเปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทคาดว่าจะเติบโต 30% จากในปี 2560 โดยหนึ่งในปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และปรับเปลี่ยนขนาดของบรรจุภัณฑ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มใหม่ และเป็นการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

แม้ในไตรมาส 2 ยอดขายในต่างประเทศชะลอตัว โดยเฉพาะในจีน เนื่องจากบริษัทได้ปรับโครงสร้างการส่งออกเพื่อทำตลาด mainstream online และ offline หลังจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้รับอย. (มาตรฐานอาหารและยา) จากทางการจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทต้องปรับแพ็กเกจสินค้าให้ตรงตามข้อบังคับของประเทศจีน ส่งผลให้ต้องเสียเวลาขายสินค้าเป็นเวลา 2 เดือน บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ไว้ตามเดิม

นอกจากนี้ ผู้กระจายสินค้าในประเทศจีน ปัจจุบันอาจไม่ถนัดในด้านการกระจายสินค้าให้แก่ผู้ค้าส่ง (Wholesale) ทำให้บริษัทไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก อย.จีน ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งการเปลี่ยนถ่ายจากระบบการขายร้านค้าแบบดั้งเดิมทำได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้การร่วมมือกับ ซิโน-แปซิฟิค ผู้กระจายสินค้าในประเทศของบริษัท ยังไม่สามารถเข้าถึงภูมิภาคที่สำคัญได้ อย่าง ภาคอีสาน

แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดภายในประเทศ การกระจายสินค้าในร้านค้า โดยผลิตภัณฑ์รูปแบบซอง (Sachet) ในร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้า King Power ยังมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ Snail Whiteยังเป็นที่นิยมของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก Market Share ของบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจุบันอยู่ลำดับที่ 6 จากทุกช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศไทย

พร้อมกันนี้ บริษัทยังได้รับ อย.จีนเพิ่มในสินค้า Snail White Syn-Ake Mist ทำให้มีโอกาสขยายตลาดได้เพิ่มเติมอีก โดยปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมอีก เพื่อขยายฐานลูกค้า คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลัง หรือในไตรมาส 4 ปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้โตเฉลี่ยปีละ 30% ในช่วง 3-5 ปี (ปี 2561-65) ตามการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในประเทศบริษัทจะขยายช่องทางการขายออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาสนใจมากขึ้น ขณะเดียวกันจะเพิ่มจุดขายของแบรนด์บริษัทเองให้เป็น 15 จุด จากปี 2561 ที่จะขยายให้ครบ 4-5 จุด

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทตระหนักถึงความท้าท้ายต่างๆ ในการรักษาการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งได้วางแผนรับมือและแนวทางแก้ปัญหาต่างๆ ไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ๆ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในสินค้า รวมทั้งการทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยว เพื่อคว้าโอกาสจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในรูปแบบซอง (Sachet) เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและช่วยในการบุกตลาดร้านค้าแบบดั้งเดิม การเพิ่มผู้กระจายสินค้าที่มีความถนัดในการขายแบบค้าส่ง (Wholesale) ในประเทศจีน เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การจำหน่ายสินค้ามากขึ้น และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปประเทศจีน โดยการเปิดตลาดในประเทศใหม่ ๆ ในเอเชีย

-----------------------------------

"โบรก"มองแข่งเดือดฉุด"ความสวย"

บล.ทรีนีตี้ระบุว่า มองว่า"การแข่งขัน"ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางความสวยงามค่อนข้างสูง ผู้บริโภคมีตัวเลือกค่อนข้างมาก ทั้งเครื่องสำอาง สีสัน รูปแบบ คุณภาพสินค้า ที่ทุกแบรนด์พัฒนาแข่งกัน โดยมองว่ากลุ่มสินค้าเป็นตลาดแฟชั่น Brand Loyalty ยังไม่สูงนัก ต้องปรับตัวหาสินค้าเรือธงให้เร็ว ซึ่งผลการดำเนินงานจึงเป็น seasonal ขึ้นอยู่กับความนิยมกระแสของสินค้าบางตัวสูงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ขณะที่กลุ่มความงาม ยังได้รับผลกระทบจากสินค้าปลอม ซึ่งน่าจะกระทบต่อผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 2 ปี 2561 โดยผู้บริหาร BEAUTY ที่ออกมายอมรับถึงยอดขายในไตรมาส 2/61 จะต่ำกว่าเป้าหมาย ฉุดราคาหุ้นร่วงแรงต่อเนื่อง

ด้าน RS ที่หันเหมาจับธุรกิจสุขภาพความงามและพาณิชย์ (Multiple-Platform Commerce - MPC) โดยมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในปี 2560 แม้คาดกำไรไตรมาส 2/61 ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ด้วยกระแสเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมปลอม และเพื่อยึดหลักอนุรักษ์นิยม

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวน "ปรับลดประมาณการ" และ "มูลค่าซื้อขายสมเหมาะลง" ส่วน DDD ได้รับ sentiment เชิงลบนี้ไปเช่นกัน โดย DDD มีสัดส่วนสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ 20% ของรายได้รวม (เกือบทั้งหมดคือจีน) ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบสูงขึ้นในอนาคตจาก สงครามการค้าสหรัฐ-จีน

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทยระบุว่า แนวโน้มธุรกิจที่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง อาจไปได้แค่ระยะสั้น จากการที่ผู้ประกอบการต่างๆ ก็กระโดดเข้ามาเบียดตลาดกันเองในอุตสาหกรรม และมีโอกาสที่อุตสาหกรรมนี้จะเข้าสู่ภาวะอิ่มตัวROA (Return on Asset) หรือ ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หุ้นความสวยความงามถือว่าสูงมาก อย่าง RS โดดเข้ามาธุรกิจนี้ จนสามารถพลิกทำกำไรแทนที่ธุรกิจหลักที่เป็นเทปเพลง, สำหรับ BEAUTY ปีนี้และปีหน้า ยังมีโอกาสเติบโตไม่น้อยกว่า 30% ขณะที่ DDD ผู้ผลิตแบรนด์ Snail White ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของสารสกัดจากเมือกหอยทาก แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำตามกันได้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0