นายเอกวิชช์ เกษเจริญ ชาวจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เดินทางมาพร้อมญาติ เพื่อร้องทุกข์และชูป้ายประท้วงที่ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ โดยระบุข้อความว่า "ธนาคารเป็นสถาบันใหญ่ แต่ปล่อยให้พนักงานโกง" ภายหลังเขาถูกปลอมลายมือชื่อในใบมอบฉันทะ แล้วนำไปถอนเงินจากธนาคารกรุงไทย สาขาปากน้ำโพ 2 ครั้ง รวมเป็นเงินมากถึง 8.3 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ปี 2551 โดยตอนนั้นธนาคารไม่ได้โทรแจ้ง หรือ โทรมาสอบถาม นายเอกวิชช์ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีแม้แต่น้อย
นายเอกวิชช์ บอกว่า ตลอดระยะเวลานานกว่า 10 ปีที่เงินหาย ได้ขอความเห็นใจจากธนาคาร แต่ก็ไม่เคยออกมารับผิดชอบใดๆ ซ้ำยังโยนเรื่องไปที่ชั้นศาล ทั้งที่พนักงานปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาด เพราะมีระเบียบห้ามอนุมัติการเบิกถอนเงินโดยใบมอบฉันทะ และการถอนเงินต่างสาขา โดยที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบเรื่อง โดยมีหลักฐานจากกองพิสูจน์หลักฐานว่า ลายเซ็นในใบมอบฉันทะเป็นคนละคน จึงอยากให้ธนาคารดำเนินคดีกับคนทำหน้าที่บกพร่อง เพราะหากไม่ดำเนินคดีก็จะไม่สามารถคืนเงินได้
ด้านฝ่ายบริหารงานวินัยและพนักงานสัมพันธ์ พร้อมทนายความ ได้ออกมาชี้แจงว่า เรื่องนี้ต้องฟังความสองข้าง ผู้เสียหายได้นำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดนครสววรรค์ และศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วว่าธนาคารทำถูกต้องไม่มีการปลอมลายเซ็น และศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เพราะเงินจำนวน 8.3 ล้านบาทนี้ มีการกระบวนการเบิกถอนที่ถูกต้อง พร้อมยืนยันธนาคารไม่ได้บิดพริ้ว ยึดตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัด หากศาลสั่งว่าธนาคารผิดก็พร้อมจ่ายเงินคืน ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลฎีกา
