โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สาเหตุราคาน้ำมันผันผวน

Money2Know

เผยแพร่ 27 พ.ค. 2562 เวลา 03.49 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
สาเหตุราคาน้ำมันผันผวน
ความผันผวนจากราคาน้ำมันโลกมีหลายสาเหตุและมีปัจจัยมากระทบมากมาย ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง สำหรับคนทั่ว ๆ ไปอาจจะอยกแยะไม่ออกว่าจะติดตามปัจจัยเหล่านี้ได้อย่างไร

​บทความเรื่อง "สาเหตุความผันผวนของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา" ของนางสาวธนันธร มหาพรประจักษ์ ฝ่ายนโยบายการเงิน ในคอลีมน์ "บางขุนพรหมชวนคิด" ได้แยกแยะการพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ และประเมินการใช้น้ำมันของไทยที่ยังพึ่งพาการนำเข้าสูงและยังไม่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเท่าที่ควร มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

ที่ผ่านมาประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองนอกจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น อีกความขัดแย้งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนมากขึ้น "บางขุนพรหมชวนคิด"ในวันนี้ จึงอยากชวนท่านผู้อ่านมาทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้ราคาน้ำมันที่เราต้องเผชิญเปลี่ยนแปลงไปมาเร็ว

ขออธิบายก่อนว่าปัจจัยหลักที่กำหนดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก สามารถแบ่งเป็น

(1) ปัจจัยต่ออุปสงค์ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงจากผลของสงครามทางการค้า

(2) ปัจจัยต่ออุปทาน ซึ่งในระยะหลังได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical factor) ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่มักจะมีปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อและนำมาสู่ความรุนแรงจนทำให้อุปทานน้ำมันตึงตัวได้ และ

(3) การที่น้ำมันกลายมาเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน (financial asset class) ที่นักลงทุนสามารถเข้ามาซื้อขายได้แม้จะไม่มีการส่งมอบน้ำมันดิบจริง ซึ่งโดยรวมแม้ว่าจะทำให้สภาพคล่องในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับดีขึ้นแต่ก็ทำให้ราคาน้ำมันมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น

สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่เริ่มปะทุขึ้นอีกครั้งได้ส่งผลต่อราคาและความผันผวนของราคาน้ำมันโดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดเพิ่มขึ้นหลังสหรัฐฯ ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปประจำการยังอ่าวเปอร์เซีย เพื่อตอบโต้อิหร่านที่ขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นทางหลักที่ใช้ขนส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียของประเทศต่าง ๆ (ปริมาณขนส่ง 17.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นร้อยละ 18 ของการผลิตรวมของโลกต่อวัน) ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจเกิดการสู้รบกันในพื้นที่ที่มีการผลิตน้ำมันหรือขนส่งน้ำมันได้

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นกับซาอุดีอาระเบียที่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งเหตุเรือขนส่งน้ำมันและท่อขนส่งน้ำมันโดนโจมตี รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่มีโดรนไม่ระบุสัญชาติเข้าโจมตีระบบท่อขนส่งน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของการผลิตน้ำมันทั้งหมดของซาอุดีอาระเบียหรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของการผลิตรวมของโลก

เหตุการณ์ต่าง ๆ ข้างต้นประกอบกับความกังวลจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้ราคาน้ำมันผันผวนมากในช่วงต้นไตรมาส 2โดยราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent เคลื่อนไหวในช่วงที่ค่อนข้างกว้างระหว่าง 57 -  66 และ 67 - 74 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตามลำดับ ขณะที่ราคาเฉลี่ยตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ถึงปัจจุบันก็ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลจากราคาเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปี

หากหันมามองผลกระทบต่อไทย พบว่าไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันในระดับสูง จากข้อมูลในปี 2561 ไทยนำเข้าน้ำมันดิบ 8.2 แสนล้านบาทต่อปีหรือร้อยละ 63 ของการบริโภคน้ำมันดิบในประเทศ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นย่อมส่งผลต่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นของทุกภาคส่วน โดยภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์ส่วนตัวหรือค่าขนส่งจากการใช้บริการสาธารณะ รวมถึงราคาก๊าซหุงต้มที่อาจปรับเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นด้วย

ขณะที่ต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจที่ใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบและค่าขนส่งสินค้าก็สูงขึ้นเช่นกัน หากดูเครื่องชี้ที่สะท้อนการพึ่งพาพลังงานต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า ความเข้มข้นของการใช้พลังงาน (energy intensity)ซึ่งวัดอัตราส่วนของปริมาณการใช้พลังงานในการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลล่าสุดในปี 2558 ของ World Bank พบว่า energy intensity ของไทยอยู่ในระดับสูง (สูงเป็นอันดับที่ 3) เมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN และมีแนวโน้มลดบ้างในระยะหลังแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ไม่ได้ดีมากนัก

นอกจากปัจจัยความขัดแย้งทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจและปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ข้างต้น เหตุการณ์ที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือการประชุมระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ (OPEC) และประเทศพันธมิตร (non-OPEC) ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนว่าจะมีการต่ออายุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของราคาน้ำมันในระยะต่อไปด้วยเช่นกัน

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0