มีความน่าสนใจในท่าที บางจังหวะก้าว และท่าที ของแต่ละพรรคการเมือง นักการเมือง ในการลงพื้นที่พบชาวบ้านหาเสียงกรายๆ หรือแม้กระทั่งการจัดกิจกรรมระดมทุน ระหว่างเส้นทาง ก่อนถึงวันประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส. 2 ม.ค. 62 นับแต่ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ และมีการปลดล็อกให้ทำกิจกรรมได้ ตั้งแต่ 11 ธ.ค. 61 เป็นต้นมา…
น่าสนใจไม่เพียงแต่ท่วงท่าของ ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กับ ”ความรั้งรอ” ในการตัดสินใจ ”แสดงตน” ในฐานะ ”นักการเมืองเต็มตัว” และในฐานะ ”ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ” ที่จะถูกเสนอชื่อ โดยพรรคพลังประชารัฐ เป็น “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ไม่ควรลืม บริบทของ“4 รัฐมนตรี””อุตม,สุวิทย์,สนธิรัตน์ และ กอบศักดิ์” ที่ติดค้าง ”คำตอบ” ใน ”คำถาม” และ”ติดค้าง” สัญญาสปิริต ”ที่ว่าจะลาออกจากรัฐมนตรี ลงมาบริหารจัดการในพรรคพลังประชารัฐ อัน” คล้ายกับที่ ”พล.อ.ประยุทธ์” ถูกทวงถามจาก ”นักข่าว” กับ”จุดยืน” การตัดสินใจในการก้าวขาอีกข้างออกมาจากอำนาจ นายกฯและหัวหน้า คสช. เพื่อลงมาเป็น ”ผู้เล่น” เต็มตัว หลัง เกมแข่งขันเลือกตั้งเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ พ.ร.ป. ส.ส. มีผลบังคับใช้ ที่วันแรกๆ ”พล.อ.ประยุทธ์” ลงพื้นที่ไปพบชาวบ้านทันที เป็น ”พล.อ.ประยุทธ์” หรือ ”นายกลุงตู่” ที่หลังจาก ”อ.วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯด้านกฎหมาย ออกมากระตุกเตือน (13ธ.ค.) ให้ระวังการวางตัวในฐานะยังเป็นข้าราชการการเมืองที่ต้องเป็นกลางระหว่าง”แต่งตัวรอ” ไมงั้นจะเข้าข่ายผิดหากไปมีพฤติกรรมหาเสียง ทำให้ ”พล.อ.ประยุทธ์” ออกอาการระวังตัวเองในจังหวะการเคลื่อนขยับทั้งการลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน และ การแสดงท่าทีความเห็นทางการเมือง แม้ล่าสุดวันวานที่ถูกถามปมองค์กรต่างประเทศเข้ามาสังเกตุการณ์การเลือกตั้ง ก็ไม่พูด โดยอ้างว่า ตอนนี้จะพูดอะไรต้องระวังไม่อยากพูดการเมือง ให้เป็นเรื่องของการเมืองไป เป็นเรื่องของ กกต. และว่า เวลานี้พูดอะไร บางครั้งต้องติดเบรกตัวเองเอาไว้ ถ้าพูดอะไรผิด ขอให้ช่วยท้วงติงด้วย เพราะบางทีก็อาจจะพูดเลยเถิดไป เนื่องจากเป็นคนที่ปากกับใจตรงกัน ”และไม่วาย” ทิ้งทุ่น” ว่า ทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ จะเป็นนายกฯก็ได้ วันหน้า ทุกคนต่างสำคัญ ตำรวจ ทหาร ก็สำคัญ”
กระนั้นในจังหวะคู่ขนานก็น่าสนใจในท่วงทำนองการขยับของ ”พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ของ ”สุเทพ เทือกสุบรรณ” ลุงกำนันแห่ง กปปส. หนึ่งในพรรคกองหนุนในก๊กอำนาจ คสช. ที่กำลังแปลงกายเป็น ”รัฐบาลใหม่” จากการเลือกตั้งในยี่ห้อ ”พลังประชารัฐ” อันสอดรับคล้ายคลึงกันอยู่ในที แม้กิจกรรมล่าสุดกับการจัดระดมทุนที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ของสองพรรคนี้ (อ่าน…จังหวะก้าวทิศทางพรรคลุงกำนัน)
เป็น ”ลุงกำนัน” ที่ออกมาส่งสัญญานชัด (16ธ.ค.) ว่า ไม่คิดว่า หลังเลือกตั้ง พรรคที่ได้ ส.ส. เป็นอันดับหนึ่ง จะต้องเป็นพรรคที่ได้รับความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล โดยควรดู หลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ ..ที่บอกว่าใครที่สามารถรวบรวม ”เสียงข้างมาก” ของรัฐสภาได้ ก็ได้เป็น”นายกรัฐมนตรี” สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้…
ที่ก็เท่ากับว่า“ลุงกำนัน” กำลังส่งสัญญาณ”ตอบรับ” กับทิศทางของพรรคพลังประชารัฐที่เพิ่งปรับยุทธศาสตร์ ที่จะเดินหน้าให้ตัวเองได้เสียงให้ได้ 126 ที่นั่งเป็นอย่างน้อยเพื่อผนวกรวม 250 ส.ว. ที่อยู่ในมือรัฐบาล คสช. อยู่แล้ว รวมเป็น 376 ซึ่งเป็น ”เสียงข้างมาก” ของรัฐสภา สามารถตั้งนายกฯ ได้ก่อน ค่อยตั้งรัฐบาล โดยยังไม่สนใจที่จะ ”จับขั้ว” ก่อนตั้งรัฐบาล
ที่ไม่ควรลืมว่า ด้วยท่าทีของศึก 3 ก๊ก 1 กลุ่ม คือ 1.ก๊กฝ่ายอำนาจรัฐบาล คสช. พรรค พปชร. และพรรคกองหนุน 2.ก๊กนายทักษิณ พรรคเพื่อไทยและพรรคแบงค์ร้อย 3.ก๊กประชาธิปัตย์ และ 1.กลุ่มพรรคที่พร้อมจับกับทุกอย่างภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนา ย่อมยากที่จะจับตัวกันได้โดยง่ายหากไม่มี ”สารตั้งต้น”
ดังนั้นการปรับยุทธศาสตร์ชู ”จุดแข็ง” ความได้เปรียบของการมี 250 เสียง ส.ว. ในมือของก๊กฝ่ายอำนาจ คสช. และการส่งสัญญานดังจาก ”สุเทพ” รวมถึงการประคองตัวในอำนาจต่อของ ”นายกลุงตู่” อย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวอาจเป็น”คำตอบ” ที่แทบไม่ต้องถามต่อว่าการตีตั๋วต่อของ ”ลุงตู่” จะเป็นไปตาม ”โรดแมป” และ ”กติกา” ที่ออกแบบไว้ได้อย่างไร้ปัญหา
