เด็กชายที่มีผิวหนังเผือกอายุ 15 ปี ถูกพบเป็นศพ ในสภาพร่างกายถูกหั่นตัดอวัยวะ ในบุรุนดี ประเทศทางภาคกลางของทวีปแอฟริกา 1 สัปดาห์หลังจากหายตัวไป นับเป็นการสังหาร ซึ่งเชื่อว่าคนร้ายต้องการอวัยวะไปทำเป็นของขลัง ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีของประเทศ
คนเผือก ซึ่งผิวหนังจะเป็นสีขาว และเส้นขนตามร่างกายสีเหลือง อันเนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ถูกฆ่าเป็นประจำในหลายประเทศในแอฟริกา เพื่อนำอวัยวะหลายส่วนของร่างกายไปทำเป็นเครื่องรางของขลัง หรือพิธีกรรมทางไสยศาสตร์
ตำรวจบุรุนดีเผยว่า เด็กชายเคราะห์ร้ายถูกพบเป็นศพเมื่อคืนวันเสาร์ที่ 17 ส.ค. ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ บนริมฝั่งแม่น้ำรูซิซี ที่กั้นแยกระหว่างบุรุนดีกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก หรือ ดีอาร์คองโก จุดที่พบศพอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของผู้ตาย
นายกัสซิม คาซังกู นายกสมาคมคนเผือกไร้พรมแดน หรือ เอดับเบิลยูบี (Albinos Without Borders) เผยว่า เด็กเผือกคนนี้ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม กลุ่มคนร้ายตัดขาขวาของเขาจนถึงหัวเข่า รวมทั้งแขนข้างขวา และลิ้น
จากข้อมูลของทางการ มีคนเผือกถูกฆ่าในบุรุนดีมากกว่า 20 ศพ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 โดยเหยื่อรายสุดท้ายก่อนหน้านี้ เป็นเด็กหญิงเผือกอายุ 5 ขวบ ศพถูกหั่นชำแหละ หลังกลุ่มคนร้ายลักพาตัวไปจากบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2559 นอกจากนั้นยังมีเด็กชายเผือกอายุ 4 ขวบ หายตัวไปนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2561 จากหมู่บ้านในเมืองเซนดาจูรี ใกล้เขตแดนแทนซาเนีย และไม่มีผู้ใดพบตัวเด็กรายนี้อีกจนถึงปัจจุบัน
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า ความต้องการชิ้นส่วนอวัยวะคนเผือกในแทนซาเนีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการฆ่าคนเผือกเพื่อทำของขลังมากที่สุด ทำให้เกิดการล่าคนเผือกในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อแทนซาเนียมีมาตรการป้องกันเข้มงวดมากขึ้น.
