ฌอน บูรณะหิรัญ
สปริงนิวส์สัมภาษณ์ ทนายปิยณัฐ สุกยัง เลขาธิการเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม (ทนายที่ติดตามคดี เงินบริจาคดับไฟป่า “ฌอน บูรณะหิรัญ”) โดยได้ให้ข้อมูลดังต่อไปนี้
1. เจ้าพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ออกหมายเรียก ฌอน ให้เข้ามาให้ปากคำ ปมเงินบริจาคช่วยไฟป่า จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 14 ก.ค. นี้ นับจากวันนี้ ฌอน มีเวลา 5 วัน
2. ฌอน สามารถเข้ามาให้ปากคำได้ก่อนวันที่ 14 แต่จะต้องนัดกับทางเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ใหม่ หากไม่เข้ามาจะออกหมายเรียกครั้งที่ 2 โดยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ซึ่งสามารถให้เวลาได้ตั้งแต่ 15 - 30 วัน หลังออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ซึ่งในกรณีนี้คาดว่าตำรวจสามารถที่จะเร่งรัดได้ เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนหมู่มากให้ความสนใจ คาดว่าไม่เกิน 7 - 10 วัน
3. หาก ฌอน ไม่มาตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ตำรวจสามารถไปยืนคำร้องต่อศาลขอให้ใช้อำนาจออกหมายจับได้ โดยจะต้องมีเหตุให้ศาลเชื่อได้ว่า ฌอน มีพฤติการณ์หลบหนี เพราะมีการออกหมายเรียกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 และ ไม่มาตามนัด และหากจับได้ที่ไหน ก็จะมีการอายัดตัว และส่งมอบให้ สภ.ปากเกร็ด
4. แม้ ฌอน จะมีการโพสต์คลิปวีดิโอชี้แจงครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. แต่ก็มิได้ตอบประเด็นที่สังคมตั้งคำถามว่า ฌอน ได้นำเงินบริจาคไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าจริงหรือไม่ และการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ อย่างการซื้อหน้ากากอนามัย และนำเงินไปใช้บูสต์โพสต์ เป็นการนำเงินไปใช้อย่างไม่สุจริต
5. โดยการชี้แจงครั้งที่ 2 แม้จะมียอดเพิ่มขึ้นมาเป็น 1,338,644.01 บาท จากครั้งแรกที่ให้ทีมงานเป็นคนเช็คยอด แล้วโพสต์ชี้แจงครั้งแรกเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ด้วยยอด 875,741.53 บาท ซึ่งยอดเพิ่มขึ้นมากว่า 463,102.48 บาท หรือกว่า 52.88% เป็นยอดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และเป็นยอดที่มาจากใบเสร็จ ไม่ใช่ยอดที่เป็นสเตทเมนท์จากทางธนาคารกสิกรไทย จึงยังไม่อาจเชื่อได้ว่านี่เป็นยอดทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ทางธนาคารกสิกรไทยได้ส่งรายละเอียดสเตทเมนท์ทั้งหมดของ ฌอน ให้กับเจ้าพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
6. เจ้าพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด จะต้องนำสเตทเมนท์ของ ฌอน มาเปรียบเทียบกับรายละเอียดที่ ฌอน แจ้งไว้ในโพสต์ว่าตรงกันหรือไม่ หาก ฌอน มาทางเจ้าพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหา ฌอน ไว้อย่างแน่นอน ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่ว่าด้วย “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และ การฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ที่ว่าด้วย “ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
7. ต่อให้ เจ้าพนักงานสอบสวน สภ.ปากเกร็ด ตรวจสอบแล้ว ยอดที่แจ้งไว้จะตรงกับสเตทเมนท์จากทางธนาคารกสิกรไทย ก็ต้องตรวจสอบต่อว่า การนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ มีเจตนาแอบแฝงหรือไม่ และไม่อาจลดความไม่พอใจของกระแสสังคมได้