โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สรุปเรื่อง Brexit แบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์ลงทุนแมน

ลงทุนแมน

อัพเดต 19 เม.ย. 2562 เวลา 08.06 น. • เผยแพร่ 20 เม.ย. 2562 เวลา 02.40 น. • ลงทุนแมน

สรุปเรื่อง Brexit แบบเข้าใจง่ายๆ สไตล์ลงทุนแมน

การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit)
หลายคนไม่รู้ว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว
ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
และจนวันนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป

เรื่องนี้มีที่มาเป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สหราชอาณาจักร ที่ว่านั้นประกอบไปด้วยประเทศอะไรบ้าง และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากแค่ไหน

สหราชอาณาจักร (United Kingdom) ประกอบไปด้วย 4 ประเทศ คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ หมายความว่า การถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป หมายถึง การถอนตัวของ 4 ประเทศดังกล่าว

ในปี 2018 สหราชอาณาจักร มีมูลค่าทาง GDP ประมาณ 90 ล้านล้านบาท ใหญ่เป็นลำดับที่ 5 ของโลก
และคิดเป็น 15% ของมูลค่า GDP ของสหภาพยุโรปที่ประมาณ 592 ล้านล้านบาท

สหราชอาณาจักร ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 1973 โดยสมัยนั้นยังใช้ชื่อว่า ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป

ในปี 1975 สหราชอาณาจักรได้มีการจัดลงประชามติ ภายใต้รัฐบาลพรรคอนุรักษนิยม นำโดยนาย Edward Heath ซึ่งตอนนั้นประชาชนยังสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกในประชาคมเศรษฐกิจยุโรป

อย่างไรก็ตาม พรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝั่งซ้ายต้องการให้สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเด็นการถอนตัวของสหราชอาณาจักรนั้นได้เกิดขึ้นมานานแล้ว

ในปี 2010 การเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร พรรคอนุรักษนิยมได้คะแนนสูงสุด นาย David Cameron กลายมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนให้สหราชอาณาจักรเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสมัยที่ 2 ของการลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2015 นั้น หนึ่งในแคมเปญการหาเสียงของนาย David Cameron ก็คือ หากประชนชนเลือกเขา เขาจะจัดให้มีการลงประชามติเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ตามที่หลายฝ่ายต้องการ

ซึ่งหลังจากชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เขาจึงจัดให้มีการลงประชามติ ว่าจะต้องการให้สหราชอาณาจักรคงการเป็นสมาชิกภาพ (Bremain) หรือออกจากการเป็นสมาชิกภาพ (Brexit) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2016

cr.weforum
cr.weforum

จากผู้มาลงคะแนนทั้งหมดประมาณ 30 ล้านคนนั้น ผลการลงประชามติกลับกลายเป็นว่า กว่า 51.9% ต้องการ Brexit ขณะที่ 48.1% ต้องการ Bremain

โดยเสียงส่วนใหญ่ที่ต้องการให้แยกตัวคือ อังกฤษและเวลส์ ขณะที่ สกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือนั้นต้องการให้อยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป

พอเรื่องเป็นแบบนี้ วันรุ่งขึ้นนาย David Cameron จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที ทำให้ Theresa May ลงสมัครตำแหน่งที่ว่าง และได้รับเลือกขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด

cr.telegraph
cr.telegraph

ทั้งนี้ ฝ่ายที่ต้องการอยู่ต่อนั้นมองว่า การเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรปจะทำให้สหราชอาณาจักรได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้า ทางภาษี และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ

ขณะที่ฝ่ายซึ่งไม่ต้องการอยู่ต่อนั้นมองว่า การเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรปนั้น ทำให้ต้องทำตามข้อตกลงหลายอย่าง เช่น การรับผู้อพยพจากประเทศสมาชิก รวมไปถึงประชากรของประเทศอื่นๆ ในฐานะผู้ลี้ภัยจากสงคราม ทำให้เกิดการแย่งงาน หรือแม้แต่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม

การเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป ยังรวมไปถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกอื่นๆ ที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ

เช่น กรณีการเกิดวิกฤตหนี้สาธารณะกรีซในปี 2010 ที่สหภาพยุโรปได้ให้เงินช่วยเหลือจำนวนมาก ทำให้ชาวอังกฤษไม่พอใจ เนื่องจากนำเงินจากภาษีของพวกเขาไปใช้

ซึ่งตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา สหราชอาณาจักรได้จ่ายค่าสมาชิกแก่สหภาพยุโรปเป็นจำนวนกว่า 4.2 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวไม่ได้เกิดขึ้นทันที เพราะต้องจัดทำแผน Brexit และปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 20,833 ข้อ..

ที่น่าสนใจคือ นับตั้งแต่ที่ Theresa May เข้ามาทำหน้าที่นั้น ได้มีการผลักดันแผน Brexit ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธตลอด

เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องการแผน Soft Brexit คือ การออกจากสหภาพยุโรปแต่ยังสามารถใช้กฎเกณฑ์บางอย่างแบบเดิมได้อยู่ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย

ขณะที่แผนของ Theresa May นั้นเป็น Hard Brexit คือ การออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเด็ดขาด ทำให้สหราชอาณาจักรมีอิสระในการกำหนดนโยบายเองได้หลายอย่าง แต่กรณีนี้จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างกว่า

เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุป
สุดท้ายแผนดังกล่าว ได้เลยเส้นตายเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกินวันที่ 29 มีนาคม 2019 ทำให้สหภาพยุโรปเลื่อนประเด็นเรื่อง Brexit ออกไปอีกครั้ง

ความยืดเยื้อดังกล่าว ทำให้ประชาชนเองก็เริ่มเบื่อ

ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบกันอย่างไร

Brexit ก็คงเปรียบเหมือนชีวิตของคนเรา

เมื่อเราได้ผูกพันกับใครคนใดคนหนึ่งเป็นระยะเวลานานแล้ว
ก็คงยากที่จะตัดขาดกันแบบสิ้นเชิง

ถึงแม้ว่าเราคิดที่จะแยกทางจากคนนั้นมาแล้วกี่ครั้ง

แต่ความผูกพัน ก็ยังมีข้อดีหลายอย่างที่คอยดึงเราไว้เสมอ

ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร

ทางเลือกที่เลวร้ายที่สุดอาจไม่ใช่การ ออก หรือไม่ออก

แต่เป็นการลังเล ตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะเลือกอะไร..
———————-
ติดตามเรื่องหลากหลาย จากผู้เขียนเก่งๆในแอป blockdit
นอกจากนั้น เรายังเขียนเองได้ และสามารถสร้างรายได้ในนี้
โหลดแอปได้ที่ http://www.blockdit.com

สั่งซื้อหนังสือลงทุนแมน 9.0 ได้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/90-i293980783-s493954943.html

Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือ-ลงทุนแมน-9.0-i.116732911.1933827833
———————-

References
-https://en.wikipedia.org/wiki/Brexit
-https://en.wikipedia.org/wiki/Greek_government-debt_crisis
-บทความเรื่อง มหากาพย์ “เบร็กซิต” โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-https://en.wikipedia.org/wiki/2015_United_Kingdom_general_election
-https://en.wikipedia.org/wiki/2016_United_Kingdom_European_Union_membership_referendum
-https://fullfact.org/europe/our-eu-membership-fee-55-million/
-https://thaipublica.org/2019/03/countdown-uk-eu-brexit-no-deal-remain-revoke-parliament-vote/
-https://www.politico.eu/article/brexit-negotiation-issues-worrying-the-european-parliament/

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0