โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สรุปประเด็น ช่อ พรรณิการ์ เปิดซักฟอกนอกสภา อัดรัฐบาลประยุทธ์เอี่ยวคดี 1MDB อาชญากรรมการเงินระดับโลก

THE STANDARD

อัพเดต 23 ก.พ. 2563 เวลา 11.44 น. • เผยแพร่ 23 ก.พ. 2563 เวลา 11.43 น. • thestandard.co
สรุปประเด็น ช่อ พรรณิการ์ เปิดซักฟอกนอกสภา อัดรัฐบาลประยุทธ์เอี่ยวคดี 1MDB อาชญากรรมการเงินระดับโลก
สรุปประเด็น ช่อ พรรณิการ์ เปิดซักฟอกนอกสภา อัดรัฐบาลประยุทธ์เอี่ยวคดี 1MDB อาชญากรรมการเงินระดับโลก

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์ประสานงานพรรคอนาคตใหม่ ฝั่งธนบุรี พรรณิการ์ วานิช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคอนาคตใหม่และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภา สืบเนื่องจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค อันส่งผลให้พรรณิการ์และกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี และไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในรัฐสภาได้ โดยบรรยากาศภายในศูนย์ประสานงานฝั่งธนฯ นั้นมีสื่อมวลชนและประชาชนร่วมรับฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาเป็นจำนวนมาก

 

 

 

 

พรรณิการ์ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาวันนี้เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคดี 1Malaysia Development Berhad (1MDB) ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนมาเลเซีย ข้อเท็จจริงหลายกรณีที่ทำให้เชื่อได้อย่างเต็มใจว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่สมควรได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป โดยสิ่งที่ตนจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้และไม่อาจคาดคิดมาก่อนเลยว่ารัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ อาจสมรู้ร่วมคิดปกปิดผู้กระทำผิดในคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

.

“หลักฐานข้อมูลที่ดิฉันจะกล่าวต่อจากนี้ไปเป็นเหตุทำให้ควรเชื่อได้ว่ารัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ กระทำการปกปิดข้อเท็จจริงกรณีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากการรับรู้ของประชาชน ทั้งคนมาเลเซีย คนไทย และประชาคมโลก บิดผันกระบวนการยุติธรรม เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก และปล่อยให้อาชญากรข้ามชาติลอยนวล ให้ที่พักพิงหลบซ่อนตัวแก่ผู้ต้องหาที่มีหมายแดงจากอินเตอร์โพลหรือตำรวจสากลที่เป็นที่ต้องการตัวในหลายประเทศ บ่อนทำลายความสัมพันธ์อันดีกับชาติพันธมิตรของไทย ทั้งหมดนี้คือการใช้อำนาจในทางมิชอบ เอาจุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศของไทยไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกระทำที่น่าละอาย อย่าว่าแต่น่าละอายในฐานะนายกรัฐมนตรีที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่ยังน่าละอายในฐานะคนที่ประกาศว่าตนเอง ‘รักชาติ’ ด้วย” พรรณิการ์กล่าว

.

**คดีอื้อฉาวทางการเงินระดับโลก 

 

พรรณิการ์กล่าวต่อว่าคดี 1MDB เป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 2558 แคลร์ บราวน์ แห่ง The Sarawak Report และแบรดลีย์ โฮป กับทอม ไรต์ สองนักข่าวสายการเงินแห่ง The Wall Street Journalตีแผ่ข้อมูลนี้ออกมา โดยข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยว่ามีเงินจำนวนถึง 1.4 แสนล้านบาท หรืออย่างน้อย 4.5 พันล้านดอลลาร์ที่มีไว้สำหรับช่วยเหลือประชาชนมาเลเซียหายเข้าสู่ระบบการเงินโลกอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งภายหลังมาเลเซียเปิดเผยว่าเงินจำนวนถึง 2 หมื่นล้านบาทถูกนำเข้าบัญชีเจ้าหน้าที่รัฐมาเลเซียหมายเลข 1 โดยตรง นั่นคือ นาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 

 

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับคดีนี้เลย ถ้าไม่เกิดการรัฐประหารโดย พล.อ. ประยุทธ์ ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในเวลานั้นรัฐบาลทหารขาดความชอบธรรมอย่างหนักทั้งในและนอกประเทศ การบังคับควบคุมในประเทศยังพอทำได้ด้วยมาตรา 44 และการควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ ในเวลานั้นเองนาจิบก็กำลังตกที่นั่งลำบากเพราะความผิดปกติในกองทุน 1MDB และนาจิบเองก็กำลังต้องการเพื่อนผู้ช่วยเหลือในยามยาก และนั่นอาจทำให้เขาตัดสินใจเป็นผู้นำคนแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลทหารของไทย การรับรองรัฐบาลทหารในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตนขอเรียกว่า ‘พันธมิตรมืด’ ระหว่าง พล.อ. ประยุทธ์ และนาจิบ 

 

**เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก

 

พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ผ่านไปไม่กี่เดือน พันธมิตรที่นาจิบสร้างไว้ก็ได้เวลาใช้ประโยชน์ ชาเบียร์ ฆุสโต ชายชาวสวิสเชื้อสายสเปน หนึ่งในผู้บริหารของปิโตรซาอุดี บริษัทที่เป็นเครือข่ายฟอกเงินของแก๊ง 1MDB ลาออกจากบริษัทพร้อมนำข้อมูลอีเมล 230,000 ฉบับ รวม 90 กิกกะไบต์ เปิดเผยต่อสาธารณะผ่าน แคลร์ บราวน์ แห่ง The Sarawak Report ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และในเดือนมิถุนายน The Wall Street Journalก็ตีพิมพ์เรื่องนี้จนกลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลก 

 

“ดิฉันได้พูดคุยกับแคลร์และชาเบียร์ด้วยตนเอง พวกเขายืนยันว่าถูกคุกคามอย่างหนักจากนาจิบ แม้แคลร์จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องสะใภ้ของ กอร์ดอน บราวน์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เธอก็ยังถูกสะกดรอยตาม ถูกพยายามแฮกอีเมล ถูกดิสเครดิตว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ และทั้งแคลร์และชาเบียร์ถูกป้ายสีว่าเป็นพวกที่สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายค้าน แคลร์บอกว่าเธอตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษ เพราะรู้ตัวว่าไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในมาเลเซียหรือประเทศใดในอาเซียน ส่วนชาเบียร์ยังอยู่ในประเทศไทย เขาคิดจะลงหลักปักฐานที่เกาะสมุยพร้อม ลอร่า ภรรยา และซานเดอร์ ลูกที่เพิ่งคลอด 

 

บ่ายวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ตำรวจนับสิบบุกจับชาเบียร์ที่บ้านบนเกาะสมุย เขามาทราบภายหลังว่าตนเองถูกตั้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์จากตำรวจไทย การจับกุมครั้งนี้ตำรวจแถลงข่าวใหญ่โตมาก แต่แล้วกลับเงียบหาย มีการกำชับว่าบุคคลที่มีสิทธิ์ให้ข่าวเรื่องนี้มีเพียง พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น นอกจากนี้ทางการไทยก็มีความพยายามกีดกันไม่ส่งชาเบียร์กลับสวิตเซอร์แลนด์ และไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าเยี่ยมได้ง่ายๆ ระหว่างที่ชาเบียร์ติดคุกอยู่ที่ประเทศไทย” พรรณิการ์กล่าว

 

พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือทั้งหมดกลายเป็นปาหี่ระดับชาติ เป็นเรื่องต้มตุ๋นครั้งใหญ่ที่กระบวนการยุติธรรมไทยรวมหัวกับเครือข่าย 1MDB ยัดคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตำรวจไทยบอกว่าอังกฤษส่งตำรวจมาร่วมสอบสวน ซึ่งในความเป็นจริง พอล ฟินนิแกน บุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ดกลับเป็นตำรวจปลอม เขาเป็นอดีตตำรวจที่ปิโตรซาอุดีจ้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินคดีชาเบียร์ที่ไทย โดยหลักฐานสำคัญคืออีเมลจาก แอตกินส์ ทอมป์สัน สำนักทนายความที่ปิโตรซาอุดีว่าจ้าง อีเมลนี้ส่งไปถึงสำนักข่าว The Guardianของอังกฤษเพื่อชี้แจงแก้ต่างให้ปิโตรซาอุดี หลังจาก The Guardianตีพิมพ์ข่าวคดีทุจริต 1MDB ในอีเมลนั้นระบุชัดว่าปิโตรซาอุดีว่าจ้างที่ปรึกษาด้านความมั่นคงผู้เป็น ‘อดีตตำรวจ’ เพื่อดูแลประสานงานกับทางการไทยในการดำเนินคดีชาเบียร์

 

สิ่งที่ผิดปกติมากไปอีกขั้นคือมีหลักฐานว่าพอลได้เข้าเยี่ยมชาเบียร์และบีบให้เขารับสารภาพ แต่สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือไม่มีชื่อของพอลในรายชื่อผู้เข้าเยี่ยม เป็นคนอยู่เหนือกฎระเบียบของเรือนจำหรือจึงไม่ต้องถูกบันทึกชื่อไว้ ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกคือบันทึกบทสนทนา WhatsApp ระหว่าง แพทริก มาฮอนี ตัวแทนของแอตกินส์ กับลอร่า ฆุสโต ภรรยาของชาเบียร์ เป็นหลักฐานที่ได้รับการรับรองจากศาลสวิตเซอแลนด์แล้วว่าเป็นหลักฐานจริง บทสนทนานี้แพทริกระบุว่าตนสามารถควบคุมการเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ ยกเว้นทนายความ ทำไมคนของปิโตรซาอุดีจึงกล้าพูดว่าสามารถควบคุมคนเข้าเยี่ยมในเรือนจำไทยได้ และดูเหมือนจะควบคุมได้จริง จากการที่พอลสามารถเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีการบันทึกรายชื่อ

 

ถ้าจะมีอะไรที่ชัดเจนไปยิ่งกว่านี้ นั่นคือบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างลอร่าและ พ.ต.อ. พงษ์ไสว แช่มลำเจียก เจ้าของคดีผู้ที่จับกุมและดำเนินคดีชาเบียร์ ลอร่าพยายามถาม พ.ต.อ. พงษ์ไสว ซึ่งยืนยันว่ารู้จักกันดีกับพอลและเข้าไปเยี่ยมชาเบียร์บ่อยๆ จะเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วเรือนจำไทยกลายเป็นที่คุมขังปิดปากพยานปากเอกของคดี 1MDB โดยตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำประเทศไทยให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้หรือไม่

 

นอกจากนี้ลอร่ายังบอกกับตนเองว่า FBI ได้เคยมาติดต่อเธอและเล่าให้ฟังว่าพยายามเข้าไปขอสอบสวนชาเบียร์ในเรือนจำกลางคลองเปรม 3 ครั้ง ได้รับการปฏิเสธทั้ง 3 ครั้ง สิ่งที่ FBI ทำได้คือการไปติดต่อลอร่าและให้ลอร่าเขียนจดหมายถึงสามีเพื่อลักลอบนำข้อมูล 1MDB ออกจากมาจากเรือนจำไทย ซึ่งต้องใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้ FBI มีข้อมูลเพียงพอในการสอบสวนคดี

 

สุดท้ายชาเบียร์รับสารภาพในข้อมูลอันเป็นเท็จจากการบีบบังคับของพอล โดยต้องโทษจำคุก 3 ปี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์พยายามขอส่งตัวชาเบียร์กลับมาประเทศไทยตามสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่มีระหว่างกัน กระบวนการเอกสารใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในเดือนกันยายน ปี 2559 ที่ชาเบียร์ควรจะได้รับการส่งตัว นาจิบมาเยือนประเทศไทย ที่น่าแปลกคือพร้อมๆ กันนั้นข้อตกลงการส่งตัวชาเบียร์ก็ล่มไป

 

**บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ คุ้มครองอาชญากรข้ามชาติ

 

พรรณิการ์กล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ยังมีกรณีของบุคคลที่ช่วยนาจิบบริหารเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก นั่นก็คือ โลเตี๊ยกโจ หรือโจ โล นักธุรกิจเชื้อสายจีนจากปีนัง คนสนิทของนาจิบ ซึ่งสิงคโปร์ต้องการตัวมาสอบสวนในคดี และได้ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดงนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการในประเทศ ซึ่งประเทศต่างๆ ในภาคีเครือข่ายของตำรวจสากลจะต้องมีข้อมูล โดยเฉพาะการเดินทางเข้าออกผ่าน ตม. จะมีการแสดงผลขึ้นทันทีว่ามีหมายแดง

 

แต่ปรากฏว่ามีหลักฐานประวัติการเดินทางผ่านแดนไทยของโจ โล ที่เข้าออกประเทศไทยถึง 5 ครั้ง นับตั้งแต่วันที่มีหมายถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยที่ไม่ปรากฏว่าทางการไทยแจ้งไปยังสิงคโปร์ ประเทศผู้ขอหมายแดงเลย คำถามคือ พล.อ. ประยุทธ์ เลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อพันธมิตรมืดมากกว่ารักษากฎกติการะหว่างประเทศที่ไทยได้เข้าเป็นภาคี เลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับนาจิบมากกว่านายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์หรือไม่

 

พรรณิการ์กล่าวในช่วงท้ายว่า จากพยานหลักฐานและข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดทำให้เชื่อได้ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งมีอำนาจสั่งการข้ามกระทรวงทุกกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ให้ร่วมมือกันปกปิดข้อเท็จจริงของคดีปล้นเงินชาวมาเลเซียครั้งใหญ่ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของต่างประเทศที่จะเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก แต่กลับปล่อยให้คนที่มีหมายแดงจากอินเตอร์โพลลอยนวล ใช้ไทยเป็นที่กบดานนานหลายปี บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ด้วยการขัดขวางการสอบสวนของ FBI บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ด้วยการไม่ยอมส่งตัวชาเบียร์กลับมาตุภูมิ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ด้วยการเพิกเฉยต่อหมายแดงอินเตอร์โพลที่ขอโดยสิงคโปร์ 

 

“แต่ที่รอไม่ได้ ณ ขณะนี้ก็คือการให้ พล.อ. ประยุทธ์ ดำเนินนโยบายขายชื่อเสียงประเทศชาติแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว ดิฉันขอให้ทุกคนตัดสินใจว่าเราจะเอาคนที่เชื่อได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการนำเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก ให้ที่พักพิงอาชญากรระดับโลก ขัดขวางการนำเงินภาษีของพี่น้องมาเลเซียที่ถูกปล้นไปกลับคืนเจ้าของ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อย่างไร 

.

“คดี 1MDB ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมาเลเซียมาแล้ว เรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่โตด้วยจำนวนเงินและความพยายามปกปิดความผิดได้ทำให้ระบอบอัมโนของนาจิบล้มลง ก่อเกิดเป็นพันธมิตรแห่งความหวังในยุคที่มืดที่สุดของมาเลเซีย ทำใ้ห้ประชาชนรวมตัวกันจุดแสงสว่างแห่งความจริงและความหวังขึ้นมา หวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศไทย ในยุคที่มืดมิดที่สุด และทำให้เราเชื่อว่าอำนาจมืดกดหัวให้เราทำอะไรไม่ได้” พรรณิการ์กล่าว

 

 

 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0