โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

JWD ผนึก ORI เปิดตัวอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม อนาคตวางแผนดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 22.30 น. • เผยแพร่ 30 ส.ค. 2564 เวลา 13.39 น. • ศุภมาศ ศรีขำ

การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและธุรกิจอาหารในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ประกอบกับนโยบายการสนับสนุนต่างๆ ของภาครัฐ เช่ย นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) นโยบายการส่งเสริมการผลิตรถ EVตลอดจนความต้องการที่สูงขึ้นของกลุ่ม Urbanized Property ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWDและ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORIมองเห็นโอกาสในขยายธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว จึงก่อตั้งบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 50 ต่อ 50 เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้แบรนด์ แอลฟา (ALPHA) โดยใช้ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ซึ่งปลายปีนี้หรือต้นปีหน้าจะชำระทุนเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท และคาดว่าใน 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มทุนเป็น 2,300 ล้านบาท
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWDกล่าวว่า แอลฟาจะมุ่งดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.อสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Property) อาทิ คลังสินค้า ศูนย์โลจิสติกส์ สวนอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ระบบการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Order Fulfillment) 2.อสังหาริมทรัพย์เพื่อชุมชนเมือง (Urbanized Property) อาทิ บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน (Self-Storage) ในคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร บริการคลังสินค้าออนไลน์ย่อย (Micro-fulfillment Center) 3.การบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ (Property Services) อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการบำบัดน้ำเสีย กลุ่มก่อสร้าง
โดยตั้งเป้าหมายภายในปี 2568 แอลฟาจะมีพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารมากกว่า 1 ล้าน ตร.ม. และมีมูลค่า REIT Value ในระดับ 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะพิจารณานำสินทรัพย์ในกลุ่มต่างๆ เข้าจดทะเบียนเสนอขายแก่นักลงทุนในรูปแบบทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วยภายในปี 2566
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวเสริมว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญด้านการหาที่ดิน การจัดการต้นทุนในการพัฒนาโครงการ และมีพันธมิตรด้านอสังหาฯ ชั้นนำจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในฝั่ง B2Cขณะเดียวกัน JWDก็มีความเชี่ยวชาญเรื่องการบริหารคลังสินค้า บริการที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ มีเครือข่ายที่แข็งแรงอยู่ทั่วอาเซียน ตลอดจนมีฐานลูกค้าที่กว้างขวางโดยเฉพาะในฝั่ง B2Bดังนั้นความร่วมมือระหว่างบริษัทและ JWD ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้าง Synergy ผสานความแข็งแกร่งของทั้งคู่เข้าด้วยกันในการตอบโจทย์ตลาดอย่างครบวงจรทั้งในฝั่ง B2B และ B2Cโดยบริษัทเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งของทั้งคู่จะนำพา แอลฟา ให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ภายในปี 2568และก้าวขึ้นเป็น Top 3 ของธุรกิจนี้ได้ภายใน 5 ปี
ด้านนายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัดกล่าวว่า การเติบโตของแอลฟา ในช่วง 5 ปีนี้ จะเป็นการเติบโตด้วยตัวเองในสัดส่วน 60% ผ่านการพัฒนาพื้นที่บริหารประมาณ 120,000 ตร.ม.ต่อปี และการเติบโตทางลัดในสัดส่วน 40% ผ่านการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใต้การบริหารอีกราว 80,000 ตร.ม.ต่อปี โดยมองทำเลการเติบโตในหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มคลัสเตอร์ภาคอุตสาหกรรม อาทิ บางนา แหลมฉบัง ระยอง และวังน้อย ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทจะมุ่งไปก่อนเป็นกลุ่มแรกในปีนี้ 2.กลุ่มคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ 3.กลุ่มศูนย์กลางธุรกิจ (CBDs) ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองหลักในจังหวัดต่างๆ 4.กลุ่มตลาดต่างประเทศ มุ่งเน้นประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา
สำหรับโครงการแรก คือ แอลฟา บางนา กม.22 คลังสินค้าออนไลน์สำหรับธุรกิจ E-Commerce แบบควบคุมอุณหภูมิ มีขนาดพื้นที่กว่า 22,000ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาส 2/64 และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/65 ส่วนโครงการสอง ตั้งอยู่ในโซนบางนา บางพลี ขนาดพื้นที่ 70,000-80,000 ตร.ม. และโครงการสาม ตั้งอยู่ในโซนปทุม-วังน้อย ขนาดพื้นที่ 60,000 ตร.ม. ซึ่งทั้งสองโครงการจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4/64 และทยอยรับรู้รายได้ปลายไตรมาส 2/65 โดยทั้งสามโครงการจะสนับสนุนให้ปี 2564 แอลฟามีขนาดพื้นที่ภายใต้การบริหารประมาณ 200,000 ตร.ม. ตามเป้าหมาย
ขณะที่พอร์ตลูกค้าคาดว่าระยะแรกแอลฟาจะมีสัดส่วนลูกค้าจาก Industrialประมาณ 70-80% ส่วนที่เหลือราว 30-20% จะเป็น Urbanด้าน Property Serviceคาดว่าจะเริ่มเห็นสัดส่วนรายได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า
“ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าแอลฟาจะเริ่มขยายธุรกิจในต่างประเทศ เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการขยายธุรกิจผ่านการร่วมทุนหรือซื้อกิจการ โดยเน้นคลังสินค้าหรือนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็กในประเทศเวียดนาม กัมพูชา และอินโดนีเซีย ซึ่งต้องการความรู้และเทคโนโลยีเข้าไปพัฒนา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจากับลูกค้า 1 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในระยะถัดไป” นายปธาน กล่าว

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0