จากกรณี ร.อ.สมรักษ์ คำสิงห์ นายทหารประจำกรมกิจการพลเรือนทหารเรือ กองทัพเรือ อดีตนักชกเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 1996 (แอตแลนตา เกมส์) และ นางเสาวนีย์ คำสิงห์ ภรรยา ตกเป็นจำเลยจากการถูกบริษัท บริหารสินทรัพย์มหานคร จำกัด ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง กระทั่งศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่ามูลหนี้ดังกล่าวเกิดจากการลงทุนทำปั๊มน้ำมันให้พ่อตาแม่ยาย ในชื่อ หจก.สมรักษ์ คำสิงห์ บริการ และยังมีเหตุขัดข้องเรื่องบ้าน จากราคา 7 ล้านบาทกลายเป็น 9 ล้านบาท รวมทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับการถูกทวงภาษีย้อนหลังอีก จึงตัดสินใจยอมล้มละลาย และยังพร้อมรับสภาพหากถูกปลดจากราชการตามระเบียบ ขณะที่กองทัพเรืออยากให้ ร.อ.สมรักษ์ ส่งเรื่องชี้แจงมายังต้นสังกัดเสียก่อน เช่นเดียวกับที่ทางนักกฎหมายที่ระบุว่า อดีตนักมวยดังยังไม่ถูกสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย จึงยังไม่พ้นคุณสมบัติในการให้ออกจากราชการ ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้ว
ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก ร.อ.สมรักษ์ ว่า หลังตกเป็นข่าวใหญ่ปรากฏว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนรับปากว่าจะช่วยเหลือ แต่ด้วยความเกรงใจจึงปฏิเสธไป โดยบอกทุกคนที่เป็นห่วงว่าขอปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตามต้องขอพระคุณทุกท่านที่อยากจะช่วยเหลือตน ซึ่งหากต้องต่อสู้ทางคดีความอาจจำเป็นต้องไปใช้เงินของลูกสาวแน่นอน ทั้งที่ใจจริงคงไม่มีพ่อคนไหนอยากให้ลูกมาลำบากด้วย สำหรับชีวิตในตอนนี้ยังอยู่ได้ไม่ลำบากอะไรนัก ส่วนตัวไม่อายใคร เพราะไม่มีเจตนาจะไปทำในเรื่องไม่ดีหรือโกงเงินทองใคร งานต่างๆของตนยังพอมีเข้ามาบ้าง สามารถสร้างรายได้พอให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ยืนยันว่าครอบครัวยังสุขสบายดี เนื่องจากลูกทั้งสองคนพอจะมีรายได้จากรายการ “คำสิงห์แฟมิลี่” ซึ่งเว็บไซต์ยูทูปจะโอนให้เดือนละแสนกว่าบาท ด้วยความที่เป็นนักมวยซึ่งต้องต่อสู้มาตลอดจึงพอทำใจได้ เพราะชีวิตมีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา ล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นสู้ใหม่ บริษัทใหญ่หรือคนดังก็ล้มละลายกันมาเยอะแล้ว
อดีตฮีโร่โอลิมปิก เปิดเผยต่อว่า ส่วนเรื่องการรับราชการทหารเรือมีความผูกพันมานาน และภาคภูมิใจในหน้าที่มาโดยตลอด ตนไม่เคยเอาชื่อทางการทหารไปหากินหรือไปทำในสิ่งไม่ดี จนทำให้กองทัพเสื่อมเสียชื่อเลย แต่การล้มละลายเป็นเรื่องสุดความสามารถของนักมวยจริง ๆไม่เคยคิดจะไปโกงใคร แต่เพราะเจ้าหนี้ปล่อยเวลาเนินนานโดยไม่ทวงถาม ทั้งยังมีการขายหนี้ไปให้บริษัทอื่นจนดอกเบี้ยพอกพูนหลายเท่าตัวเกินความจริงไปมาก จึงจำเป็นต้องยอมแพ้ หลังจากนี้จะรีบเข้าไปรายงานต่อกองทัพเรือตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาเมตตาและพิจารณาเหตุที่เกิดต่อไป.