นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สมาคมธนาคารไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า มาเร่งรัดติดตามงานที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง เพื่อให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ต้องการสภาพคล่อง กลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที และ กลุ่มที่มีศักยภาพ ที่มาตรการผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ไปแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง และเพียงพอหรือไม่ ซึ่งหากยังไม่เพียงพอก็จะให้กระทรวงการคลังหามาตรการเสริมเข้ามาเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อไป
“ก็มาติดตามว่าเรื่องไปถึงไหนแล้ว ก็ได้มอบหมายให้แบงก์รัฐทำโครงการที่สนับสนุนสินเชื่อให้เอสเอ็มอีเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นอีกแรงในการขับเคลื่อน เร่งรัดให้ทุกอย่างเดินหน้า และถ้ามีความจำเป็นต้องออกมาตรการอะไรมาเสริมเพิ่มเติม ก็จะให้คลังไปดู ซึ่งต้องรอดูต่อไป”นายสมคิดกล่าว
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า กระทรวงการคลังจะร่วมมือกับ ธปท. ในการเดินหน้าการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งทุนตามมาตรการที่ผ่านครม.ไป โดยได้ขอความร่วมมือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ให้ปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามมาตรการความช่วยเหลือมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการให้บสย.เพิ่มวงเงินค้ำประกันจาก 30% เป็น 40% แล้ว ควรจะมีการปล่อยสินเชื่อดังกล่าวมากขึ้น และเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย 60,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้ให้ได้
ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) จะเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยในสัปดาห์หน้า คปภ.จะมีการประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาการเปิดกว้างให้มีการขยายแผนการลงทุนของบริษัทประกันต่างๆ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน ทั้งการลงทุนในประเทศที่จะให้สามารถเข้าไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศได้ และขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพมากขึ้น
