โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สธ.แจ้งความดำเนินคดี วัยรุ่นยกพวกตีกันใน รพ.ยโสธรและอุบลราชธานี

TODAY

อัพเดต 21 พ.ค. 2562 เวลา 00.56 น. • เผยแพร่ 21 พ.ค. 2562 เวลา 00.50 น. • Workpoint News
สธ.แจ้งความดำเนินคดี วัยรุ่นยกพวกตีกันใน รพ.ยโสธรและอุบลราชธานี

นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 10

กระทรวงสาธารณสุข ประสานตำรวจแจ้งความดำเนินคดี และเรียกค่าเสียหายกับผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ในโรงพยาบาลที่จังหวัดยโสธรและอุบลราชธานี พร้อมกำชับโรงพยาบาลทุกแห่งวางมาตรการความปลอดภัยตามแนวทางที่ให้ไว้

วันที่ 21 พ.ค. 2562 วานนี้นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร ผู้ตรวจราชการเขตสุขภาพที่ 10 เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล หลังเกิดเหตุมีผู้เข้าไปทำร้ายผู้ป่วยที่กำลังรักษาที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลเหล่าเสือโก้ก ต.เหล่าเสือโก้ก อ.เหล่าเสือโก้ก จ.อุบลราชธานี และเหตุทำร้ายญาติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร พร้อมกำชับให้แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุ และเรียกร้องค่าเสียหายจากการทำลายเครื่องมือแพทย์อย่างถึงที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำ

“โดยที่โรงพยาบาลเหล่าเสือโก้ก มีผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ส่งรักษาต่อที่ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีอุปกรณ์การแพทย์ที่เสียหาย คือ เครื่องวัดความดันโลหิต ส่วนโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทาผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นญาติผู้ป่วย เบื้องต้น ได้สั่งการให้โรงพยาบาลในเขตสุขภาพทุกแห่ง ประสานงานตำรวจทันที หากมีผู้ป่วยจากการทะเลาะวิวาทเข้ามารักษาไม่ต้องรอเกิดเรื่องก่อน ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกันญาติ หรือมีประตูนิรภัยให้ล็อคประตูทันที รวมทั้งติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม” นายแพทย์ธงชัย กล่าว

กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในโรงพยาบาล โดยเฉพาะบริเวณห้องฉุกเฉิน ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงเกิดเหตุบ่อยครั้ง ดังนี้

1.ให้โรงพยาบาลจัดทำแนวทางปฏิบัติป้องกันและจัดการความรุนแรง ทบทวน ฝึกซ้อมและปรับปรุงเป็นประจำ
2.จัดทำระบบควบคุมประตู หรือมีทางเข้า-ออก ที่ปลอดภัยหลายช่องทาง
3.จัดสถานที่พักคอยสำหรับญาติ รวมทั้งจำกัดการเข้าออก
4.ตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้พร้อมใช้งาน และติดตั้งเพิ่มในจุดเสี่ยง
5.จัดระบบคัดกรองโดยเฉพาะผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน และจัดบริการให้เหมาะสมกับความเร่งด่วน รวมทั้งให้สื่อสารกับญาติผู้ป่วยเป็นระยะ เพื่อลดความวิตกกังวล
6.จัดเวรยามรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
7.จัดหาสัญญาณเตือนภัย หรืออุปกรณ์ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน และมีช่องทางแจ้งเหตุด่วนกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเครือข่ายอาสาสมัคร มูลนิธิต่างๆในพื้นที่

อย่างไรก็ตามแม้กระทรวงสาธารณสุขจะมีมาตรการป้องกัน แต่คงป้องกันไม่ได้ทั้งหมด ต้องขอความร่วมมือประชาชนผู้มารับบริการ รวมทั้งญาติผู้ป่วย ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุรุนแรงขึ้นในโรงพยาบาลซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ปลอดความรุนแรงสำหรับประชาชนทุกคน และที่สำคัญคือ จิตสำนึกความรับผิดชอบของผู้ที่ตั้งใจเข้ามาก่อเหตุ

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0