ผลสำรวจจากกระทรวงศึกษาธิการประเทศญี่ปุ่นพบตัวเลขของเด็กนักเรียนชั้น มัธยมต้น เเละมัธยมปลายในประเทศมีตัวเลขการ ฆ่าตัวตาย เพิ่มขึ้นในปี2018 โดยมีอัตราที่สูงขึ้นถึง 33% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาเเละเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งเเต่ปี 1988
สถิติดังกล่าวนับจากนักเรียนมัธยมปลาย 227ราย, มัธยมต้น100ราย เเละประถมศึกษษ 5 ราย โดยในแต่ละภาคชั้นหากคิดเป็นตัวเลขมีอัตราการ ฆ่าตัวตาย เพิ่มถึง 42% จากนักเรียน 332 รายแบ่งเป็นเด็กนักเรียนผู้ชาย 193 ราย เเละผู้หญิง 139 ราย
นอกจากนี้สถิติการฆ่าตัวตายในประเทศญี่ปุ่นรวบรวมโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีตัวเลขที่สูงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2003 ที่ 34,427 ราย เเต่จากนั้นเริ่มลดงในปัจจุบันนับตั้งเเต่ปี 2010 เป็นต้นมาเเสดงให้เห็นว่าภายใน 9 ปี จำนวนการฆ่าตัวตายของประชากรญี่ปุ่นเริ่มลดลง ตรงกับข้ามกับจำนวนของเด็กในวัยเรียนที่มีตัวเลขการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น โดยตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยตั้งเเต่ปี 2006 เฉลี่ยเด็กในวัยเรียน 100,000 ราย มีอัตราการฆ่าตัวตายที่ 1.2 ราย ขณะที่ตัวเลขในปี 2018 มีการเพิ่ม 2.5 ราย
สาเหตุของการฆ่าตัวตายมีหลายสาเหตุ พบว่าอันดับ 1 เกิดจากความขัดเเย้งทางครอบครัว อันดับ2 เกิดจากการถูกผู้ปกครองเข้มงวดหรือตำหนิ ขณะที่การถูกกลั่นแกล้งหรือบูลลี่จากคนรอบข้างมีอัตราลดลง ขณะที่การฆ่าตัวตายโดยไม่ทราบสาเหตุมีตัวเลขค่อนข้างสูง เเต่ละเคสของการฆ่าตัวตายแยกเป็นเคสเเละสถิติดังต่อไปนี้
- เกิดจากความขัดเเย้งทางครอบครัว 41 ราย 12.3%
- ถูกผู้ปกครองเข้มงวดหรือตำหนิ 30 ราย 9.0%
- กังวลถึงชีวิตในอนาคต 28 ราย 8.4%
- มีความผิดปกติทางจิต 24 ราย 7.2%
- ปัญหาเกี่ยวกับเพศตรงข้าม 22 ราย 6.6%
- ผิดหวัง 21 ราย 6.3 %
- เครียดกับการเรียน 17 ราย 5.1%
- ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน 16 ราย 4.8%
- บูลลี่ 9ราย 2.7%
- อาการป่วยทางร่างกาย 9ราย 2.7%
- มีปัญหากับครูในโรงเรียน 5 ราย 1.5%
- ไม่ทราบสาเหตุ 194 ราย 58.4%