“นั่นสตอรี่หรือจุดไข่ปลา”…
คนเล่น Instagram คงคุ้นๆคำกล่าวนี้มาบ้าง
ว่า “ไข่ปลา” หมายถึง จุดที่ขึ้นเยอะๆเวลาอัพสตอรี่ถี่ๆ
เคยสงสัยไหมคะว่า ฟีเจอร์ “สตอรี่” ใน Instagram ซึ่งเมื่ออัพแล้วจะหายไปในเวลา 24 ชั่วโมงทำไมถึงได้ฮิตในทุกวันนี้
เมื่อเรื่องราวที่อัพไม่ได้อยู่ตลอดไป แล้วทำไมเราถึงชอบอัพสตอรี่กันบ่อยๆและกดดูซ้ำๆ ?
Behind the Story
สำหรับ Instagram นั้น สัญลักษณ์ที่รูปโปรไฟล์ซึ่งส่งสัญญาณบอกว่า
เพื่อนอัพสตอรี่ใหม่ๆ เรื่องราวใหม่ๆแล้ว
คือ สิ่งกระตุ้นภายนอกที่ทำให้เราอยากกดเข้าไปดูสตอรี่ของเพื่อนๆ
ปกติแล้ว เมื่อมีสิ่งกระตุ้นก็ต้องมีรางวัลที่ทำให้รู้สึกว่าได้ “สิ่งตอบแทน” จากการทำสิ่งนั้น
สิ่งตอบแทนของการกดดูสตอรี่คือ การได้รู้เรื่องราวของเพื่อนๆ
ซึ่งเป็น เรื่องราวเชิงลึกในแต่ละวัน (insight of real daily life)
เพราะในสตอรี่ เราอัพรูปและวิดิโอกันได้ถี่กว่า
ไม่ใช่แค่รูปในช่วงเวลาสำคัญ แต่เป็นทุกชั่วขณะเล็กๆของชีวิต
ความไม่แน่นอนและความไม่รู้ว่าเพื่อนจะอัพอะไร
ทำให้เราอยากกดเข้าไปดูและทำให้รู้สึกว่าได้รู้เรื่องราวเชิงเลึกที่ไม่มีทางรู้ถ้าไม่ได้กดเข้ามาดู
แม้บางสตอรี่จะสนใจ แต่บางวิดิโอและบางรูปจะดูแล้วน่าเบื่อก็ตาม
ก่อนจะเข้าใจฟีเจอร์สตอรี่มากขึ้น เราต้องเข้าใจ Instagram กันก่อน
Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่คนใช้ช่วยพัฒนา (co-creating) แอพพลิเคชั่นไปด้วยขณะที่ใช้
พฤติกรรมที่เรา follow กด like และ comment รวมทั้งส่องคนที่ชอบ
มีผลทำให้ feed ของเราแสดงไม่เหมือนคนอื่น
ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนา feed แบบ real time เพื่อให้ตรงความต้องการผู้ใช้มากที่สุด (personalization) นั่นหมายความว่า เมื่อเราได้ลงแรงลงเวลาที่ใช้ไปกับ account หนึ่งๆ
ทำให้ account Instagram ของเรากลายเป็นสิ่งที่พัฒนาไปพร้อมกับพฤติกรรมของเรา
(habit-forming product)
จุดนี้ทำให้เกิด “สิ่งกระตุ้นภายใน” หรือ “ความคุ้นชิน”
เมื่อใช้จนชิน และรู้สึกว่าได้ลงแรงลงเวลาไปกับ account ของเรา
จนมีแต่ “สตอรี่” ของเพื่อนฝูงที่อยากเสพและอยากโชว์แล้ว
ทำให้แม้จะไม่มี Notification มาเตือนว่าให้กดเข้าไปดูสตอรี่ของเพื่อนๆ เราก็กดเข้าไปดูเอง
คล้ายเวลาที่รู้สึกคันแล้วอยากเกาโดยอัตโนมัติ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยากอัพสตอรี่ถี่ๆและกดดูซ้ำๆ
เพราะเรามี “สิ่งกระตุ้นภายใน”ที่กระตุ้นพฤติกรรมให้อยากติดตาม รวมถึงเล่าเรื่องราว ในแพลตฟอร์ม ที่ปรับการแสดง feed มาเพื่อเรานั่นเอง
เบื้องหลังการกดเข้าไปดูยังมีแรงจูงใจเพื่อเติมเต็มบางอย่างในใจอีกด้วย
เช่น เวลาที่เสิร์ช Google เพราะไม่แน่ใจ
การกดเข้าไปดูสตอรี่ก็เช่นกัน เราอาจเข้าไปดูเพียงเพราะเหงา
หรืออยากรู้สึกเช่ือมโยงกับใครบางคน ยิ่งเรากดเข้าไปดูมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคุ้นชินกับพฤติกรรมการติดตามสตอรี่มากขึ้นเท่านั้น
และทำให้อยากกลับมาดูอีกเรื่อยๆ
Relationship Story
เราทุกคนล้วนมีใครบางคนที่เรา “สนใจเป็นพิเศษ”
คนที่เคยผูกพันแต่อาจไม่ได้ใกล้กันอย่างเคยแล้ว
สตอรี่ทำให้เราได้คงมิตรภาพห่างๆเหล่านั้นไว้
เราอาจไม่ได้เป็นคนที่เจอกันบ่อย สนิทกันในชีวิตจริงอีกต่อไป
แต่เรายังอยู่ในชีวิตของกันและกันด้วยการแอบเข้าไปกดดูไอจีสตอรี่แบบห่างๆ
พิษของการติดตามสตอรี่อย่างห่างๆแบบห่วงๆนี้คือ
ตัวเราเองอาจเจ็บปวดและจมกับความสัมพันธ์ที่รู้สึกใกล้ แต่ก็เหมือนไกลนี้ได้
สตอรี่ที่กดเข้าไปดูทุกวัน อาจทำให้เรารู้เรื่องราวในชีวิตประจำวันทุกอย่างของคนๆหนึ่ง
เราใช้เศษเวลามากมายไปกับเรื่องราวของคนเหล่านั้นในแต่ละวัน
แต่สุดท้าย เมื่อความสัมพันธ์นี้ไม่ได้อะไรกลับมาในชีวิตจริง จะทำให้เกิดความห่างที่อยากใกล้และกลายเป็นการอาลัยอาวรณ์ได้
การติดตามสตอรี่ “เรื่องราวเล็กๆน้อยๆ” ของคนที่ห่างกันแล้วแต่ยังผูกพัน จึงคล้ายการเดินตามเศษขนมปังชิ้นเล็กๆที่ “ฮันเซล กับ เกรเทล” โปรยไว้ แต่เมื่อเดินตามไปเรื่อยๆกลับเจอทางตัน
อย่างไรก็ตาม การติดตามสตอรี่ของคนไกลไม่ได้ทำให้เราเจ็บปวดในทุกกรณี
หากเราพอใจและมีความสุขกับระยะห่างนั้น
ว่ากันว่า เมื่อเห็นว่าใครเข้ามาดูสตอรี่เราบ้าง
เราจะรู้สึกดีว่าคนเหล่านั้นแคร์และสนใจเรื่องราวของเรา
แม้ในชีวิตจริงคนกลุ่มนั้นอาจไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเราตรงๆเลยก็ตาม
ทางที่ดีของการคงความสัมพันธ์ทั้งคนใกล้และคนไกล
คือ อย่าลืมว่า สตอรี่เป็นแค่หนึ่งอย่างที่แสดงถึงการใส่ใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
การใส่ใจกันและกัน เล่าเรื่องราวให้กันฟังและเติมเต็มความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
ยังมีรูปแบบอื่นๆอีกมากมายในชีวิตจริงที่ไม่ควรละเลย
ระวังอย่าให้สตอรี่ที่ทำลายตัวเองได้ใน 24 ชั่วโมง
มาทำลายความรู้สึกและความสัมพันธ์ของเรานะคะ
ที่มา
https://www.refinery29.com/en-gb/ghosting-dating-social-media
About Me
Instagram: http://www.instagram.com/faunglada
Facebook: http://www.facebook.com/faunglada
Youtube: http://www.youtube.com/faunglada
Twitter: @faunglada
Website: www.faunglada.com