โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

สงคราม กับการลงทุน

กรุงเทพธุรกิจ

เผยแพร่ 18 ม.ค. 2563 เวลา 20.00 น.

ความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปรากฏให้เห็นทั้งสงครามทางเศรษฐกิจ วาทกรรมสงครามและสงครามที่มีการประหัตประหารกันจริงๆ ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์อันทรงอานุภาพ

Ben Carlson, CFA. Director of Institutional Asset Management at Ritholtz Wealth Managementได้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสงครามครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐ (The Relationship Between Geopolitical Crises and Market Outcomes Isn't Simple)

โดยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.2457ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลดลงกว่า30%ในช่วง6เดือนแรก ถึงขนาดว่ามีการตัดสินใจปิดตลาดหุ้นเป็นระยะเวลาถึง6เดือน และภายหลังจากการเปิดการดำเนินการของตลาดอีกครั้งในปีถัดมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า88%ซึ่งนับว่าเป็นอัตราผลตอบแทนต่อปีที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของดัชนีดาวโจนส์ตราบจนถึงปัจจุบัน

และหากพิจารณาถึงผลกระทบต่อตลาดหุ้นตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ4ปีของสงครามโลกครั้งที่1ตลาดดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงประมาณ8.7%ต่อปี

อีก 25ปีถัดมา สงครามโลกครั้งที่2ได้เริ่มอุบัติขึ้นเมื่อวันที่1กันยายน พ.ศ.2482(ซึ่ง ณ ขณะนั้นสหรัฐยังไม่ได้ร่วมเป็นคู่สงครามด้วย) ดัชนีดาวโจนส์ได้ปรับเพิ่มขึ้นทันทีถึงเกือบ10%ภายในวันเดียว แต่ในวันที่ฐานทัพเรือสหรัฐ ณ อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตีอย่างไม่คาดฝัน สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงกับกองทัพสหรัฐในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.2484ตลาดเปิดขึ้นโดยปรับตัวลดลง2.9%ภายในวันเดียว ก่อนจะกลับขึ้นมาที่ระดับเดิมภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น

และแม้กระทั่งในวัน D-Dayซึ่งทหารฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกได้ที่ชายฝั่งนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นปฏิบัติการรบครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มกลับเข้ายึดครองยุโรปตะวันตกจากนาซีเยอรมันได้ ดัชนีดาวโจนส์ก็มิได้สะท้อนถึงความสำเร็จในครั้งนั้นทันที แต่ปรับตัวขึ้นกว่า5%ในเดือนถัดมา ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลา6ปีของสงครามโลกครั้งที่2ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง50%

โดยตลอดระยะเวลาของสงครามโลกครั้งที่1และ2ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมกันสูงถึง115%!!!

สงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ.2493และจบลงใน พ.ศ.2496ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง16%ต่อปี ขณะที่ในสงครามเวียดนาม (พ.ศ.2508-2516) ซึ่งเป็นสงครามไกลบ้านที่สร้างความบอบช้ำและแตกแยกให้กับอเมริกันชนเป็นอย่างมาก ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเกือบ5%ต่อปี

วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาเป็นการประจันหน้ากันของมหาอำนาจทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุค อย่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต ซึ่งทำให้โลกเกือบเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์ตลอดระยะเวลา13วันของการเผชิญหน้านั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงเพียง1.2%เท่านั้น โดยที่ตลอดทั้งปีดัชนีปรับตัวขึ้นมากกว่า10%

หันกลับมาดูเหตุการณ์การก่อการร้ายครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งยังเป็นที่จดจำได้เป็นอย่างดีของคนยุคนี้ คือการก่อวินาศกรรมเครื่องบินพุ่งชนอาคารเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์เมื่อวันที่ 11กันยายน พ.ศ.2544เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวนานถึง5วันทำการ และเมื่อเปิดทำการซื้อขายแล้ว ตลอดการซื้อขาย5วันแรก ดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลงถึง17.5%แต่ก็ปรับตัวกลับมาสูงกว่าช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน และปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีถัดมา

นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไม วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ นักลงทุนวัย 89ปี ถึงได้เคยให้ข้อคิดเกี่ยวกับการลงทุนในภาวะสงครามไว้ว่า "สิ่งหนึ่งที่คุณจะแน่ใจได้ เมื่อเข้าสู่มหาสงคราม คือมูลค่าของเงินจะด้อยค่าลง และนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแทบจะทุกสงครามที่ผมเคยรับรู้มา….ดังนั้น สิ่งสุดท้ายที่คุณจะต้องการ คือ การถือเงินสดในช่วงสงคราม คุณอาจต้องการเป็นเจ้าของไร่ อพาร์ตเมนต์ หรือหลักทรัพย์…ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น และตลาดหุ้นก็จะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะต่อๆไป"

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0