วาระหลักจากเวทีบรรยายของ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) เรื่อง “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” สัปดาห์ที่ผ่านมา คือแสดงจุดยืนของกองทัพบกต่อ อุดมการณ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ” ที่ พล.อ.อภิรัชต์ ย้ำหนักแน่นว่า มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ” แก้ไม่ได้
และการสะท้อนภาพการเมืองไทยในสายตา ”ผู้บัญชาการทหารบก” ที่อ้างถึงเหตุการณ์ บุคคลระหว่างบรรทัดจำนวนหนึ่ง อาทิ นักเรียนนอกซ้ายดัดจริต ฮ่องเต้ซินโดรม และ สถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่
ไฮไลท์จากเวทีบรรยาย คือการระบุถึงสงครามลูกผสม ( Hybrid Warfare)ที่พล.อ.อภิรัชต์ ย้ำว่า “ผมอยากให้ทุกคนได้รู้เท่าทันว่า Hybrid Warfare เกิดขึ้นแล้วในประเทศนี้”
ความหมายของ สงครามลูกผสม (Hybrid Warfare)ตามที่ พล.อ.อภิรัชต์ อธิบายคือ “สงครามที่ใช้การผสมผสานของเครื่องมือ ทั้งจากสงครามตามแบบ และสงครามไม่ตามแบบ ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่เป็นทฤษฎีจากประสบการณ์จากประเทศต่างๆที่ล่มสลายไป ”
ผบ.ทบ.บอกว่าสงครามลูกผสม มีกองกำลังของรัฐบาล กับ กองกำลังฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งหมายถึงประชาชน ทั้งในและต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างว่าเช่น นักการเมืองระดับชาติ ท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น เศรษฐีบริจาคเงินให้ทำเว็บไซต์ หรือเป็นแหล่งข่าว
จากนั้นก็มี Propaganda กลุ่มสงครามข่าวสารข้อมูลหรือ โฆษณาชวนเชื่อ ต่อจากนั้นขยายความสถานการณ์ให้เป็นสากล ด้วยการใช้บุคคลระหว่างประเทศ หรือ องค์กรอิสระเป็นปัจจัยโดยยกตัวอย่าง “การนำฝรั่งมาถ่ายรูปที่หน้าโรงพัก หรือ มายืนกับกลุ่มผู้ชุมนุม ” แม้ไม่ระบุแค่คนฟังคาดเดาได้ไม่ยากว่าหมายถึงใคร
สุดท้ายคือสงครามเศรษฐกิจ เช่น สงครามการค้าสหรัฐ–จีน พล.อ.อภิรัชต์ บอกว่าทุกประเทศเล็กใหญ่มีคนจนทั้งนั้น การทำให้คนในประเทศรวยเท่ากับนั้นยากกว่า แต่การทำให้คนในประเทศจนเท่ากันนั้นง่าย เป็นแนวคิดของ คอมมิวนิสต์ ?
การย้ำถึงการมีอยู่ของสงครามลูกผสม ชวนให้ตีความว่า การเข้าสู่อำนาจรัฐในปัจจุบันนอกจากเลือกตั้งรวมเสียงข้างมาก ตั้งรัฐบาลแล้วยังมีอะไรมากกว่านั้น ทำนองสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งเป็น การออกมาแสดงจุดยืนทางการเมืองซ้ำๆของ ผู้บัญชาการทหารบก ย่อมส่งผลให้การเมืองเป็นเรื่องคาดเดายากขึ้นซึ่งโยงถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยตรง
สัปดาห์เดียวกันนั้น นายแอนดรู เมสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ธนาคารโลก แถลงปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ของไทยลงเหลือ 2.7% จากเดิม 3.5% โดยยกเหตุผลการส่งออกครึ่งปีแรกขยายตัวติดลบ ปัญหาภัยแล้ง การเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ และยังประเมินด้วยว่าแนวโน้มประเทศไทยช่วงต่อไปไม่สดใสนักโดยยกการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุด
ทำนองเดียวกัน ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลง ว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประเดือนกันยายนที่ผ่านมาปรับลดลงเป็นเดือนที่ 7 และต่ำสุดในรอบ 39 เดือน โดยปัจจัยที่มีผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผุ้บริโภคลดลง นอกจากปัญหาเศรษฐกิจโลก ราคาพืชผลต่อต่ำแล้ว สภาพการเมืองยังเป็นปัจจัยเติมความกังวลให้ผู้บริโภคด้วย
ความเสี่ยงทางการเมืองในช่วงจากนี้ไป นอกจาก เสถียรภาพรัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนจาก พรรคร่วม 18 พรรคปริ่มน้ำ มากกว่าพรรคร่มฝ่ายค้านเพียง 4 เสียงแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากสงครามไฮบริดที่เกิดขึ้นแล้วร่วมด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยลดความเป็นไปได้ของรัฐบาลที่จะผลักดันจีดีพีปีนี้ให้ถึง 3% ลงไปอีก