โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สงครามการค้า-บาทแข็ง กระเทือนยอดใช้สิทธิประโยชน์เอฟทีเอไม่เต็มร้อย แค่ 76%

MATICHON ONLINE

อัพเดต 23 ม.ค. 2563 เวลา 06.52 น. • เผยแพร่ 23 ม.ค. 2563 เวลา 06.52 น.
กีรติ อธ ค้าต่างประเทศ

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ(คต.)กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป(จีเอสพี) เดือนมกราคม–พฤศจิกายน 2562 โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์รวม 65,642.88 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์อยู่ที่ 75.98% ลดลง 4.14% แบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ 60,790.30 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้จีเอสพี 4,852.57 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ 11 เดือนปี 2562 คิดเป็น 77.26% ของมูลค่าการส่งออกรวมซึ่งมีมูลค่า 78,679.96 ล้านเหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกที่ลดลง 2.8% ซึ่งยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 5.52% โดยคงสาเหตุสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงปัจจัยด้านค่าเงินบาทยังคงแข็งค่า

นายกีรติ กล่าวว่า แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ ในภาพรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาแต่ยังมีบางตลาดที่มีการขยายตัวของอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ ได้แก่ 1.เปรู ขยายตัวดีที่31.96% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม รถจักรยานยนต์ความจุกระบอกสูบ 250-500 ลบ.ซม. มอนิเตอร์และเครื่องฉาย เป็นต้น 2. จีน ขยายตัวที่ 2.17% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น และ 3. นิวซีแลนด์ ขยายตัวที่ 1.77% มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น เครื่องประดับที่ทำจากเงิน แผ่นและแถบทำด้วยอะลูมิเนียม แผ่นฟิล์มทำด้วยพลาสติก เป็นต้น สำหรับตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อาเซียน ลดลง 8.27% ออสเตรเลีย ลดลง15% ชิลีลดลง 29.19% อินเดียลดลง 3.33% ญี่ปุ่นลดลง 0.81% และเกาหลีลดลง 6.12%

นายกีรติ กล่าวว่า สำหรับตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้เอฟทีเอ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. อาเซียน มูลค่า 22,716.49 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.จีน มูลค่า 16,566.45 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.ออสเตรเลีย มูลค่า 7,285.75 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.ญี่ปุ่น มูลค่า 6,971.05 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 5. อินเดีย มูลค่า 3,963.52 ล้านเหรียญสหรัฐ กรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ไทย-ชิลี ใช้เต็ม100% 2. ไทย-เปรู ใช้ 93.28% 3.อาเซียน-จีน ใช้ 90.94% 4.ไทย-ญี่ปุ่น ใช้ 88.88% และ 5. อาเซียน-เกาหลี ใช้ 82.86% สำหรับรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด น้ำตาลจากอ้อย และผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง

นายกีรติ กล่าวว่า ในส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้จีเอสพี จำนวน 4 ระบบ คือ สหรัฐ สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ ที่มีมูลค่า 4,852.57 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้นคิดเป็น 62.87% ของมูลค่าการส่งออกรวม 7,718.52 ขยายตัว 17.44% สำหรับ 11 เดือนแรกปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่ามากที่สุดคือ สหรัฐ 4,413.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิ 67.03% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิซึ่งมีมูลค่า 6,583.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11 เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถัดมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่า 283.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิ 35.49% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ 798.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น2.27% ในส่วนประเทศรัสเซียและเครือรัฐ มีมูลค่าการใช้สิทธิ 129.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิ 80.77% ของมูลค่าการส่งออกซึ่งมีมูลค่า 160.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 15.14% และนอร์เวย์ มีมูลค่า 25.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิ 100% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ 25.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 35.99% สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบจีเอสพีสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยางอื่นๆ อาหารปรุงแต่งอื่นๆ น้ำผลไม้ และเลนส์แว่นตา

นายกีรติ กล่าวว่า ปี 2562 ไทยเผชิญกับความท้าทายต่างๆอาทิ สงครามการค้า ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า รวมถึงผลกระทบอาจเกิดจากสหรัฐประกาศระงับสิทธิจีเอสพี สินค้าไทยบางรายการเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2563 อาจกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศถึงปี 2563 สำหรับกรณีสหรัฐประกาศระงับสิทธิจีเอสพีสินค้าไทยบางรายการ ควบคู่ไปกับการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ กรมได้ส่งแบบสอบถามเพื่อสำรวจผลกระทบและมาตรการบรรเทาที่ภาคเอกชนประสงค์จะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงจัดประชุมหารือเพื่อเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เพื่อติดตามผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 เพื่อหารือมาตรการรองรับผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่มีการพึ่งพาสิทธิ GSP

ทั้งนี้ การประชุมครั้งที่ 2 นี้ กรมได้ประสานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย/สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเชิญผู้แทนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อาหารปรุงแต่ง เซรามิก เคมีภัณฑ์ เครื่องหนังฟอก กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเหล็ก เข้าร่วมประชุมฯ และแจ้งข้อมูลเพื่อให้กรม และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลผลกระทบและความต้องการที่แท้จริงของภาคเอกชน ซึ่งภาครัฐเตรียมมาตรการรองรับทั้งระยะสั้นและระยาวที่สามารถให้การสนับสนุนและสรุปได้ 4 แนวทาง ได้แก่ 1. ด้านการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุน 2. ด้านตลาด อาทิ เร่งทำข้อตกลงทางการค้าโดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป และ RCEP พร้อมสนับสนุนกิจกรรมการขยายตลาดใหม่โดยการจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดคณะนักลงทุน/นักธุรกิจร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business matching) รวมถึงการสนับสนุนในลักษณะพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาในการเข้าสู่ตลาดใหม่

นายกีรติ กล่าวว่า 3.ด้านการอำนวยความสะดวก อาทิ ลดต้นทุนการผลิต ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และ 4.ด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างนวัตกรรม เช่น ส่งเสริมการลงทุน R&D สนับสนุนการนำงานวิจัยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้าง Startup/ผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมในตลาดสหรัฐฯ ในระยะต่อไป กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการรองรับผลกระทบในรายละเอียดเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนอย่างแท้จริงต่อไป

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0